วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

Brand Background ตราสินค้ายี่ห้อ Fresh



Freshผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋องเริ่มต้นมาจากการที่เราต้องการให้มีความหลากหลายในผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋องซึ่งในปัจจุบันผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋องมีมากมายหลายยี่ห้อแต่ทว่าการที่เราจะทำให้ผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋องของเรานั้นแตกต่างจากตราสินค้าอื่นๆนั้นเราควรทำให้ตราสินค้าของเรามีความแปลกใหม่และมีความหลากหลายด้านวัตถุดิบที่นำมาประกอบเป็นอาหารสำเร็จรูปสิ่งที่สำคัญคือเราจะเลือกใช้วัตถุดิบที่มีความสด สะอาด ถูกหลักอนามัยเนื่องจากเราคำนึงถึงความต้องการของผู้บริโภคเป็นหลักซึ่งผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋องของเรานั้นมีมากมายหลายรสชาติอาทิผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋องที่มีเนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่หรือแม้กระทั่งอาหาร seafood เรานำวัตถุดิบดังกล่าวนี้มาปรุงแต่งรสชาติให้มีความหลากหลายไม่ว่าจะเป็นตามแบบอาหารไทยรสจัดหรือตามสไตล์อาหารตะวันตกอย่างสเต๊กเท่านี้ยังไม่พอผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋องFresh ของเรานั้นไม่ได้มีแค่เนื้อสัตว์เท่านั้นเรายังมีผลิตภัณฑ์ผักกระป๋องเพื่อให้ครบรูปแบบอาหารกระป๋องในที่นี้เรายังมีอาหารกระป๋องสูตรเจอีกด้วยเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่นิยมรับประทานอาหารเจหรืออาหารจำพวกมังสวิรัติซึ่งการที่เรามีผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋องที่หลากหลายนั้นก็เพื่อที่จะให้ตราสินค้าของเราเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้ทุกวัยเราใช้ความแปลกใหม่ของผลิตภัณฑ์เข้าไปสร้างความแตกต่างในประเภทสินค้าชนิดเดียวกันเพื่อให้ตราสินค้าของเราสามารถสร้างตำแหน่งครองใจในตัวผู้บริโภคได้ในด้านการจัดจำหน่ายนั้นเรามีการจำหน่ายผ่านระบบInternetหรือที่เรียกว่า E-comers ซึ่งผู้บริโภคสามารถสั่งสินค้าของเราได้อย่างรวดเร็วผ่านทางหน้าwebsiteของเราซึ่งมีทั้ง 2ภาษาไม่ว่าจะเป็นภายในประเทศหรือต่างประเทศเราก็สามารถจัดส่งให้ผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็วสมกับชื่อตราสินค้าFreshของเราคือต้องมีความใหม่ สด อยู่ตลอดเวลาเพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความมั่นใจในสินค้าของเราเราจึงคัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดมอบให้ผู้บริโภค


กลยุทธ์การตลาดที่สำคัญ

สำหรับผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋องของเรานั้นเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ในตลาดผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปเราจึงต้องเน้นการทำการตลาดภายในประเทศของเราก่อนซึ่งเราต้องสร้างตำแหน่งผลิตภัณฑ์ของเราให้เข้าไปครองใจผู้บริโภคโดยเราจะเลือกใช้กลยุทธ์การตลาดระหว่างประเทศ (International Marketing) การดำเนินกิจกรรมทางการตลาดตั้งแต่ 2 ประเทศขึ้นไป โดยยึดตลาดภายในประเทศเป็นหลัก การวิจัยและพัฒนาสินค้าก็ให้สอดคล้องกับตลาดภายในประเทศ การบริหารงานเป็นการรวมอำนาจ และให้ศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศแม่ (Home Country) สำหรับผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋องของเรานั้นเราเน้นรสชาติที่มีความหลากหลายตามแบบฉบับอาหารไทยวัตถุดิบที่เรานำมาใช้นั้นมีคุณภาพจากฟาร์มที่ได้มาตรฐานซึ่งเราทำการติดต่อซื้อขายกับผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่ซึ่งจะทำให้วัตถุดิบที่ได้มีคุณภาพอีกทั้งต้นทุนในการผลิตของเราไม่สูงมากอีกด้วยเพราะเราทำการติดต่อซื้อขายเป็นระยะเวลานานมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ค้าของเราอีกด้วยสำหรับเมนูอาหารกระป๋องของเรานั้นเราปรุงแต่งให้รสชาติที่หลากหลายมีการทดลองรสชาติจนกว่าจะได้รสชาติที่ตรงกับอาหารไทยที่ผู้บริโภคนิยม
สำหรับตลาดภายในประเทศเราต้องมั่นใจว่าอาหารสำเร็จรูปของเรานั้นสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึงโดยการปรับปรุงส่วนผสมอยู่เสมอให้มีความหลากหลายในรสชาติและไม่จำเจเกินไปสำหรับการที่เราจะทำให้ผลิตภัณฑ์ของเรานั้นเป็นที่รู้จักนั้นเรามีการจัดจำหน่ายผ่านทางระบบInternetหรือที่เรียกว่า E-Comers ซึ่งผู้บริโภคจะได้รับรายละเอียดของผลิตภัณฑ์อย่างครบถ้วนรวมไปถึงการจัดส่งที่รวดเร็วและทันสมัยให้ผลิตภัณฑ์ของเราถึงมือผู้บริโภคอย่างทันใจและสดใหม่โดยเราจะจัดส่งสินค้าเองผ่านทางรถยนต์ไม่ว่าลูกค้าจะอยู่ที่ใดเราก็สามารถส่งได้ถึงที่ผ่านตัวแทนจำหน่ายของเราที่มีอยู่ทั่วประเทศทำให้สินค้าของเราสามารถกระจายไปได้อย่างทั่วถึงและรวดเร็วโดยเรามีการดูแลตัวแทนจำหน่ายของเราเป็นอย่างดีให้การสนับสนุนด้านราคาและสินค้ามีการอบรมตัวแทนจำหน่ายเพื่อให้สามารถจัดจำหน่ายสินค้าของเราได้อย่างดี


กลยุทธ์การตลาดระหว่างประเทศ (International Marketing)สำหรับกลุ่มประเทศAsean+6

อาเซียน (ASEAN : The Association of South East Asian Nations) หรือ สมาคมประชาชาติแห่งเชียตะวันออกเฉียงใต้อาเซียนก่อตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เริ่มแรกเพื่อสร้างสันติภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อันนำมาซึ่งเสถียรภาพทางการเมือง และความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม และเมื่อการค้าระหว่างประเทศในโลกมีแนวโน้มกีดกันการค้ารุนแรงขึ้น ทำให้อาเซียนได้หันมามุ่งเน้นกระชับและขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าระหว่างกันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ก็ยังคงไว้ซึ่งวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ ดังนี้
1. ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมในภูมิภาค
2 .รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความมั่นคงในภูมิภาค
3. ใช้เป็นเวทีแก้ไขปัญหาความขัดแย้งภายในภูมิภาค

สำหรับAsean+6 คือ กลุ่มประเทศอาเซียนที่มี10ประเทศ ได้แก่ ไทย ลาว พม่า เวียดนาม กัมพูชา อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และ บรูไน  แล้วรวมกับอีก 6 ประเทศ คือ จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ EAS(East Asian Summit) เป็นเวทีหารือทางยุทธศาสตร์เพื่อรับมือสิ่งท้าทายต่างๆ ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากประเทศต่างๆ ทั้งในและนอกภูมิภาคเอเชียตะวันออก โดยกำหนดให้ EAS เป็นเวทีที่เปิดกว้าง โปร่งใส และครอบคลุม ที่ประชุมยังเห็นพ้องกับแนวความคิดของไทยที่ให้ EAS เป็นเวทีของผู้นำที่จะแลกเปลี่ยนความเห็น ยุทธศาสตร์และวิสัยทัศน์ในลักษณะ ผู้นำเป็นผู้ให้นโยบาย (top down)การประชุม EAS มีขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน โดยมีประเทศที่เป็นประธานอาเซียนเป็นประธานการประชุม
การทำการตลาดในประเทศกลุ่มอาเซียน+6นั้นถึงแม้ว่าจะเป็นการค้าขายกับประเทศกลุ่มเขตการค้าเสรีแต่เราก็ควรคำนึงถึงช่องทางที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์ของเรานั้นเป็นที่รู้จักเพราะเนื่องจากปัจจัยทางด้านประชากร พฤติกรรมการบริโภคของแต่ละประเทศนั้นแตกต่างกันดังนั้นการที่เราจะเข้าให้ถึงกลุ่มเป้าหมายในแต่ละประเทศนั้นเราควรต้องปรับกลยุทธ์เพื่อให้เจาะกลุ่มเป้าหมายได้สิ่งสำคัญที่เราควรคำนึงถึงคือวัฒนธรรมของแต่ละประเทศเป็นเช่นไรแล้วเราควรจะปรับส่วนผสมทางการตลาดอย่างไรเพื่อให้เข้าถึงตลาดนั้นๆสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋องยี่ห้อ Fresh ของเรานั้นหากจะทำการตลาดกับประเทศในกลุ่มอาเซียนแล้วเราจะเลือกใช้กลยุทธ์การตลาดหลายประเทศ ( Multinational Marketing) การดำเนินกิจกรรมทางการตลาดตั้งแต่ 2 ประเทศขึ้นไป จะปรับกลยุทธ์การตลาดให้เข้ากับลักษณะตลาดแต่ละตลาด เพราะแต่ละพื้นที่มีสภาพแวดล้อมทางการตลาด ปัจจัยภายใน ปัจจัยภายนอกต่างกันการที่เราเลือกใช้กลยุทธ์หลายตลาดก็เพราะว่าแต่ละประเทศมีพฤติกรรมการบริโภคและค่านิยมที่แตกต่างกันอาทิ มาเลเซีย บรูไน เป็นประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามดังนั้นอาหารที่พวกเขารับประทานจึงต้องถูกหลักฮาห์ราลซึ่งเป็นอาหารของชาวมุสลิม
ฉะนั้นการที่ผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋องยี่ห้อ Fresh จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายนั้นต้องมีการปรับแต่งส่วนผสมให้ถูกหลักของฮาห์ราลหรือเป็นอาหารฮาห์ราลสำเร็จรูปที่ผ่านกระบวนการกรรมวิธีการผลิตที่ถูกต้องและมีมาตรฐานหรือสัญลักษณ์ฮาห์ราลรองรับเพียงเท่านั้นยังไม่พอเราควรที่จะศึกษาว่าอาหารฮาห์ราลของประเทศนั้นๆผู้บริโภคนิยมรับประทานรสชาติแบบใดเป็นต้นโดยเรามีสโลแกนว่า Open The Can For Healthy Eating




ช่องทางการสื่อสารการตลาด

สำหรับช่องทางการจัดจำหน่ายในตลาดหลายประเทศนั้นเราควรคำนึงถึง ปัจจัยด้านผู้บริโภคจำนวนผู้บริโภค การกระจายของประชากร รายได้ พฤติกรรมการซื้อ ปฏิกิริยาต่อการขายรูปแบบต่างๆ ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ การเน่าเสีย(Shelf life )ความจำเป็นในการขนส่ง/ บริการ ปัจจัยด้านคนกลาง ทัศนคติต่อผู้ผลิต การคัดเลือก/ดูแลสินค้า ประสิทธิภาพการยกเลิก/สิ้นสุดสัญญาและเนื่องจากเราเลือกกลยุทธ์การตลาดแบบหลายประเทศดังนั้นเราจึงเลือกกลยุทธ์การจัดจำหน่ายทั้ง2แบบคือ Indirect Involvement ผ่าน Independent agents ,Distributors, Exclusive dealers ,Wholesalers ซึ่งจะทำให้ผลิตภัณฑ์ของเรากระจายได้อย่างรวดเร็วเราจึงเลือกการจัดจำหน่ายที่ผ่านตัวแทนจำหน่ายของเราในแต่ละประเทศ
ส่วนอีกแบบคือ Direct Involvement นั้นเรามีร้านค้าเป็นของตนเองซึ่งร้านค้าของเรานั้นเป็นร้านค้าออนไลน์บน Website ผู้บริโภคแต่ละประเทศสามารถติดต่อกับเราได้โดยเมื่อต้องการที่จะสั่งซื้อสินค้าของเราโดย Website ของเรานั้นมีภาษาให้เลือกถึง 2 ภาษาทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษที่สำคัญคือเราได้มีการจดทะเบียนการค้าอย่างถูกต้องจากกรมการค้ากระทรวงพาณิชย์เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจในผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋องยี่ห้อ Fresh ของเราว่ามีคุณภาพมีการรับรองจากองค์การอาหารและยา


Shipping

แสดงข้อมูลวิธีการชำระเงิน และวิธีการจัดส่งสินค้าของทางบริษัท โดยเป็นวิธีการที่ง่ายมาก โดยการเลือกสินค้าที่ต้องการเข้ารถเข็น แล้วจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิต และหลังจากทำการชำระเงินแล้ว ทางบริษัทจะทำการยืนยันการชำระเงิน และทำการจัดส่งสินค้าไปยังผู้ซื้อเป็นการนำเสนอให้ลูกค้าถึงการขนส่งของสินค้าจากทางบริษัทที่จะมีอยู่หลายหลายรูปแบบทั้งการขนส่งและการบริการที่จะทำให้ลูกค้าเกิดความเชื่อมั่นในบริษัทที่จะคอยดูแลลูกค้าให้เกิดความไว้วางใจและพึงพอใจมากที่สุด





การสื่อสารการตลาด

การสื่อสารประเภท Above the line Communication
การโฆษณา

-สื่อนิตยสาร ลงโฆษณาตามนิตยสารเกี่ยวกับอาหารทั่วไปเพราะสามารถเจาะจงกลุ่มคนที่รักรถยนต์ อีกทั้งยังตรงกับกลุ่มเป้าหมายของทางบริษัทที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้
-สื่อออนไลน์ และ e-Mail Marketing ทางบริษัทของเรามีเวปไซด์สำหรับให้ข้อมูลและให้คำแนะนำแก่ลูกค้าซึ่งลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้าผ่านทางเวปไซด์ของเราได้

รายละเอียดWebsite
ภาพที่เลือกมาใช้นั้นเพื่อที่จะสื่อให้ผู้บริโภคสัมผัสถึงความมีสีสีนของอาหารที่น่ารับประทานและต้องการที่จะสื่อให้ผู้บริโภครู้ว่าผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋องของเรานั้นสามารถที่จะนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายชนิดดังภาพที่เลือกมาใช้ไม่ว่าจะเป็นหมูผัดผักรวมมิตรที่นำผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋องจากเนื้อหมูมาประยุกต์ให้มีสีสันที่น่ารับประทานมากขึ้นหรือจะเป็นผลิตภัณฑ์จากเนื้อวัวคัดพิเศษอย่างดีที่สามารถนำมาประยุกต์



ไม่ว่าจะเป็นสเต๊กจานโปรดเพิ่มสีสันให้น่ารับประทานด้วยผักต่างๆทานกับซอสสเต๊กก็อร่อยไม่เบาอีกทั้งแต่ละภาพที่เราเลือกมานั้นยังมีข้อความประกอบภาพเพื่อให้ผู้บริโภครู้สึกถึงอรรถรสในการชมผลิตภัณฑ์ของเราไม่ว่าจะเป็น “ Delicious meals for all your diners อาหารมื้ออร่อยเพื่อทุกๆมื้อเย็นของคุณ ” หรือจะเป็นข้อความที่ว่า “ Open the can for healthy eating เปิดกระป๋องอาหารเพื่อสุขภาพ ” อีกทั้งภาษาที่เราใช้ในการสื่อสารเราใช้ 2 ภาษาคือ ภาษาไทยและภาษาอังกฤษเพื่อให้มีความสากลและกว้างขวางไม่จำกัดเฉพาะในประเทศแต่สามารถส่งออกไปยังต่างประเทศได้อีกด้วย


Header



คำว่า Fresh ใช้สีของตัวอักษรสลับไปมาเพื่อสื่อให้เห็นว่าตัวสินค้ามาจากประเทศไทย สีแดงเพื่อสื่อถึงความร้อนเหมือนออกมาจากเตาใหม่ สีขาวเพื่อสื่อถึงความสะอาด สีน้ำเงินเพื่อสื่อถึงความสดใหม่ คำว่า Canned Food ใช้สีเทาเพื่อสื่อถึงว่าผลิตภัณฑ์บรรจุอยู่ในกระป๋อง คำสุดท้าย nutrition and naturally ใช้สีดำเพื่อสื่อถึงความมั่นใจในผลิตภัณฑ์


Cart
เป็นส่วนที่ใช้แสดงสินค้าที่ลูกค้าทำการเลือกไว้

Member Login
ออกแบบให้มีความง่ายต่อการใช้งานมีปุ่มกดที่ชัดเจน สีของหน้า Login ดูแล้วสบายตามีการแบ่งสีของปุ่ม Forgot Password
 
Recycling
ทำการออกแบบและนำเสนอให้รู้ถึงผลิตภัณฑ์ของทางบริษัทที่สามารถทำการ Recycle ได้และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม




Certified
เป็นส่วนที่จะแสดงในทุกหน้าของเวบไซต์เพื่อให้ลูกค้ามีความมั่นใจในตัวผลิตภัณฑ์ว่าได้มาตรฐานผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาและผ่านมาตรฐานอุตสาหกรรม




Banner
เป็นที่สำหรับผู้ที่สนใจที่จะทำการประชาสัมพันธ์โฆษณาผ่านทางเว็บไซต์ของทางบริษัท




หน้า Product
เป็นหน้าที่แสดงให้เห็นถึงลักษณะของรูปลักษณ์และบรรจุภัณฑ์ของสินค้า สามารถเลื่อนดูสินค้าได้ทั้งหมด โดยใช้ปุ่ม ลูกศรซ้ายหรือขวา และยังมีข้อมูลที่แสดงถึงรายละเอียดของสินค้า รหัสของสินค้า ความนิยมของสินค้า มีสินค้าในสต๊อคหรือไม่ และราคาของสินค้าแต่ละชนิด ถ้าหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวสินค้า สามารถกดปุ่ม Question? เพื่อทำการเข้าไปในหน้าคำถามยอดฮิตที่มีคนถามกันเข้ามาบ่อย ซึ่งทางทีมงานได้ทำการตอบคำถามเหล่านั้นเอาไว้แล้ว ถ้านอกเหนือจากคำถามยอดฮิตก็สามารถฝากคำถามเอาไว้ในระบบได้




เป็นส่วนที่จะสามารถเลื่อนดูผลิตภัณฑ์ และรูปแบบของผลิตภัณฑ์ได้ ซึ่งจะทำให้ลูกค้าและผู้ที่สนใจได้เห็นถึงความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่ทางบริษัทได้ทำการนำเสนอโดยบอกถึงรายละเอียดในส่วนของผลิตภัณฑ์ทั้งส่วนผสมและส่วนประกอบ รวมถึงราคา ที่จะสามารถให้ลูกค้าได้อุ่นใจและตรวจสอบรายละเอียดได้




รายละเอียดผลิตภัณฑ์Fresh Canned Food

1. ผลิตภัณฑ์ประเภทเนื้อหมู –เนื้อหมูของเรานั้นเป็นหมูพันธุ์ดีจากฟาร์มที่สะอาดถูกสุขอนามัยมีวิธีการเลี้ยงแบบธรรมชาติให้อาหารจากพืชและสมุนไพรเพื่อให้เนื้อหมูที่ได้มีรสชาติที่อร่อยอีกทั้งหมูที่เลี้ยงแบบธรรมชาติจะมีสุขภาพใจและสุขภาพกายดีเมื่อหมูมีความสุขเนื้อของมันก็จะมีความนุ่มอร่อยซึ่งสามารถนำไปปรุงอาหารได้หลากหลายเมนูไม่ว่าจะเป็นผัด ทอด อบหรือประยุกต์เมนูได้หลายเมนูตามใจชอบ
ขนาดบรรจุ –155 กรัม ( ฝาดึง )และ 190กรัม ( ฝาดึง )

2. ผลิตภัณฑ์ประเภทเนื้อวัว –เนื้อวัวของเรานั้นคัดสรรมาจากฟาร์มโคเนื้อที่ได้มาตรฐานโดยเป็นเนื้อจากโควัยเจริญพันธุ์ซึ่งจะเป็นเนื้อที่ไม่แก่เกินไปมีความเหนียวนุ่มกำลังดีอีกทั้งยังเป็นเนื้อวัวที่ได้จากพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ชั้นดีเลี้ยงโดยกรรมวิธีทางธรรมชาติให้อาหารจากหญ้าออแกนิคปราศจากสารเคมีอีกทั้งยังมีการตรวจสุขอนามัยและสุขภาพของวัวอย่างดีคุณจึงมั่นใจได้ในความอร่อยของผลิตภัณฑ์จากเนื้อของเรา
ขนาดบรรจุ –155 กรัม ( ฝาดึง )และ 190 กรัม ( ฝาดึง )

3.ผลิตภัณฑ์ประเภทเนื้อไก่ –ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่ของเรานั้นเป็นไก่ที่มาจากฟาร์มของเครือเจริญโภคภัณฑ์คือเรามีการจัดสั่งเนื้อไก่จากฟาร์มของซีพีโดยตรงเพื่อให้ได้เนื้อไก่ที่มีมาตรฐานอุตสาหกรรมมีความสะอาดปลอดภัยคุณจึงมั่นใจได้ว่าเนื้อไก่ของเรานั้นสะอาดถูกหลักอนามัยพร้อมสำหรับเมนูที่หลากหลายตามที่คุณต้องการไม่ว่าจะเป็นไก่ผัดซอส ไก่ผัดเผ็ดหรือไก่ผัดเปรี้ยวหวานเพียงแค่นี้คุณก็สามารถอร่อยกับเมนูง่ายๆด้วยผลิตภัณฑ์จาก Fresh Canned Foodที่พร้อมส่งตรงถึงมือคุณ
ขนาดบรรจุ –155 กรัม ( ฝาดึง )และ 190 กรัม ( ฝาดึง )

4.ผลิตภัณฑ์ประเภทปลาและอาหารทะเล –อย่าแปลกใจที่คุณจะรู้สึกว่าปลาและอาหารทะเลที่คัดสรรมานั้นมีความสดอร่อยนั่นก็เพราะว่าเราได้นำเนื้อปลาและอาหารทะเลสดจากทะเลโดยตรงเรียกได้ว่าปลาที่ส่งมาถึงเรานั้นยังตัวเป็นๆเลยทีเดียวคุณจึงมั่นใจในความสดในวัตถุดิบที่เราคัดสรรพิเศษมาเพื่อคุณโดยเฉพาะทำให้เมนูปลาผัดฉ่า แกงกระหรี่ปูเป็นเรื่องง่ายๆสำหรับมื้ออาหรเย็นสุดพิเศษในครอบครัวของคุณ
ขนาดบรรจุ –155 กรัม ( ฝาดึง )และ 190 กรัม ( ฝาดึง )

5.ผลิตภัณฑ์ประเภทผัก –ผักของเรานั้นเป็นผักที่มาจากสวนออแกนิคของเราเองคือเรามีการปลูกโดยไม่ใช่ยาฆ่าแมลงหรือสารเคมีใดๆเลยเรามีการใช้ปุ๋ยชีวภาพเพื่อให้ผักของเรานั้นปลอดสารพิษอีกทั้งผักจากสวนของเรานั้นมีความสดใหม่สามารถที่จะนำไปประกอบอาหารได้มากมายอาทิ ผัดผักรวมมิตร ผัดเปรี้ยวหวานไก่ใส่ผักรวมเรียกได้ว่าผักของเรานั้นมีหลากหลายอย่างทั้งผักกาด ข้าวโพดอ่อน ถั่วลันเตาถูกใจผู้ที่ชื่นชอบทานมังสวิรัต
ขนาดบรรจุ –155 กรัม ( ฝาดึง )และ 185 กรัม ( ฝาดึง )


หน้า Contact

หากผู้ใช้บริการต้องการจะติดต่อหรือฝากข้อความกับทางบริษัท ผู้ใช้บริการต้องทำการฝาก ชื่อ, E-mail, เบอร์โทรศัพท์, รหัสการสั่งสินค้า, หัวข้อเรื่องหรือปัญหาและข้อความที่ต้องการจะบอกหรือคำติชมไว้กับทางบริษัทและถ้าหากทางบริษัทจะติดต่อกลับไปจะใช้ข้อมูลที่ผู้ใช้บริการกรอกไว้ในระบบเป็นหน้าที่ไว้สำหรับกรอกข้อมูลของทางลูกค้าและผู้ที่สนใจกรอกข้อมูลข่าวสาร

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553










Incorporation and growth

Emirates had become one of the world's fastest growing airlines by the early 1990s. Revenues increased by about $100 million each year, approaching $500 million in the year 1993. It carried 68,000 tons of cargo and 1.6 million passengers in the same year. The Gulf War had helped Emirates by keeping other airlines out of the area. Emirates was the only airline to continue flying in the last ten days of the war.Emirates operated nine Airbus A310s by 1998
A partnership agreement with US Airways entered in the fall of 1993 allowed Emirates to offer services round the world. It previously had cooperation agreements with Cyprus Airways. By 1994, the airline was connecting 32 destinations with its 15 aircraft. At this time Emirates was the sixth largest airline in the Middle East.
Emirates took in revenues of $643.4 million in the year ending 30 March 1994. The airline had 4,000 employees and carried two million passengers a year between 34 destinations with a fleet of 18 Airbus aircraft. Seven new Boeing 777s worth over $1 billion were ordered in 1992 which began to arrive in the spring of 1996. One of the planes was used on a new service to Melbourne via Singapore. Emirates placed a large order with Airbus later the same year. In spite of the large capital expenditures, the Dubai government had laid out only $50 million since the airline's inception.
A total of 92 air carriers were flying to markets internationally and Emirates faced intense competition at its home base. It carried about three million passengers a year to Dubai International Airport in the mid-1990s. Emirates continued to expand during the late 1990s. The growing cargo business accounted for 16 percent of the airline's total revenues.
Airbus A330-200 lands at London Heathrow Airport
In May 1998, Emirates paid the Government of Sri Lanka $70 million for a 40 percent stake in SriLankan Airlines (formerly known as Air Lanka). As part of the deal, Emirates received a 10 year contract to manage SriLankan. In January 2008, Emirates announced that it would give back management of SriLankan Airlines to the Sri Lankan Government, effective April 2008. However there are no plans to remove or decrease the stake in the airline.



Corporate Management

The airline is a subsidiary of The Emirates Group, which is a subsidiary of the Dubai government investment company, Investment Corporation of Dubai. The airline has recorded a profit every year, except the second, and growth has never fallen below 20% a year. In its first 11 years, it doubled in size every 3.5 years, and has every four years since.
In 2010 Emirates paid dividends worth AED956m ($260m) in 2010, compared to AED2.9bn ($793m) in 2009. The government has received Dhs7.1 billion from Emirates since dividends started being paid in 1999 for having provided an initial start-up capital of US$10 million and an additional investment of about US$80 million at the time of the airline's inception, the Dubai government is the sole owner of the company. However, it does not put any new money into it, nor does it interfere with running the airline.






Structure and employment

Emirates has diversified into related industries and sectors, including airport services, engineering, hospitality services, catering, and tour operator operations. Emirates has 4 subsidiaries and its parent company has more than 50. Emirates employed a total of 36,652 staff at the end of the fiscal year on 31 March 2010. Its parent company, The Emirates Group, employed a total of 49,950 employees of which 10,785 were cabin crew, 2,237 were flight deck crew, 1,904 were in engineering, and 9,084 were listed as other. The group plans to hire 5,000 more people across its subsidiaries.



Branding





From 2004, the airline changed its slogan to Fly Emirates. Keep Discovering In 2008, Emirates launched a slogan mainly revolving around their route network of 100 destinations in 59+ countries across six continents – Fly Emirates. Keep Discovering and Fly Emirates. To over Six Continents. Most recently Emirates launched a campaign to promote Dubai as a destination using the slogan Fly Emirates. Meet Dubai.
Other slogans used in the past by the airline include:
 Emirates. The Finest in the Sky
 Be Good to yourself. Fly Emirates
 When was the last time you did something for the first time. Fly Emirates.
 Fly Emirates. Keep Discovering
Emirates introduced a new design in August 2008 for its 16,000 uniformed staff, designed by Simon Jersey plc. The offboard uniform includes the Emirates hat, red kick-pleats in the skirts, more fitted blouses and the return of red leather shoes and handbags. For the onboard uniform, male and female cabin crew wear service waistcoats in place of the previously worn service jackets and tabards. The male flight attendants wear a chocolate brown suit, featuring pinstripes, with a cream shirt and a caramel, honey and red tie. Both male and female Pursers wear this chocolate brown color, but with no red featured.
Since its formation in 1985, though to a limited extent until all aircraft were repainted, Emirates aeroplanes carried a section of the United Arab Emirates flag on the tail fins, a calligraphy of the logo in Arabic on the engines and the "Emirates" logo on the fuselage both in Arabic and English. The colour scheme used since 1985 was changed in November 1999 to the one still in use today. This change saw the modification of logotype, the enlargement and move of the English logo (the Arabic remaining smaller) towards the front of the aircraft and a different, flowing flag on the tailfin Some newer aircraft such as theAirbus A380-800, have the Emirates logo painted on the belly of the aircraft. Emirates aircraft also have the Fifa World Cup logo on them, as Emirates is the official airline sponsor.



Marketing And Sponsorships




Emirates is a sponsor of sports clubs and events, both at its home base and in its overseas markets. It sponsors the annual Dubai Shopping Festival, the Dubai Summer Surprises and the West Australian Symphony Orchestra as well as the Melbourne Symphony Orchestra. As of April 2009, Emirates spends 2.7% of its of its total budget on Marketing and Communications. For Emirates, marketing expenses account for a far greater share of its total costs than for most of its competitors. In the English-speaking world the sponsorship always carries the words "Fly Emirates". Emirates sponsors Arsenal F.C. and their 60,000 seater Emirates Stadium as well as AC Milan, Olympiacos CFP, Hamburger SV, Paris Saint-Germain FC, Asian Football Confederation (AFC), Emirates Cup, the Collingwood Football Club as well having sponsors with Chelsea F.C. from 2001–05. As of 2009, they also sponsor the Scottish Junior Cup known now for sponsorship reasons as the Emirates Junior Cup, which is the top prize in Scottish Junior football (as opposed to the senior football Scottish Cup).
Emirates also funds many events in rugby. They co-funded construction of The Sevens, a stadium in Dubai purpose-built for the 2009 Rugby World Cup Sevens, with the Dubai government. They also will sponsor the Rugby World Cup 2011, IRB Referees and Match Officials, four of the eight events in the IRB Sevens World Series, International Sevens Teams (specifically England and Samoa), and the Western Force. Emirates are also a major sponsor of Emirates Team New Zealand, a New Zealand based yachting syndicate that has enjoyed success in the America's Cup. Most recently, Emirates signed a sponsorship deal with USA Rugby that will make the airline the shirt sponsor of the country's men's, women's, and sevens teams through 2016.




AC Milan's Biggest Fan Arrives for New Shirt Unveiling




DUBAI, U.A.E., 29th July 2010: AC Milan's biggest fan has arrived in Milan for the official launch of the Fly Emirates AC Milan shirt.
An Emirates' A380, adorned with a giant AC Milan shirt sticker, swooped down on Malpensa Airport for the event in the presence of His Highness Sheikh Ahmed bin Saeed Al-Maktoum, Chairman and Chief Executive, Emirates Airline & Group and Adriano Galliani, Deputy Chairman and Managing Director of AC Milan.
They were joined by Adidas Managing Director Jean Michel Granier; Giuseppe Bonomi, President and CEO of SEA which owns Milan Malpensa and members of the AC Milan team including Captain Massimo Ambrosini.
Emirates first signed a sponsorship agreement with AC Milan in September 2007. The following year, the relationship was elevated to Top Institutional Sponsor. The first time that AC Milan fans will see players wearing the Fly Emirates shirt on the pitch is during the Emirates Cup in London, which kicks off on Saturday.
Other teams sponsored by Emirates include Paris Saint Germain Football Club in France, Hamburger SV in Germany, Olympiacos FC in Greece, and Arsenal in the UK. Emirates also holds Official Partner status for the FIFA World Cup™




FIFA World Cup mascot enjoys fun-filled tour of Dubai with Emirates






DUBAI, U.A.E., 26th May 2010: Zakumi, the Official Mascot of the 2010 FIFA World Cup™, enjoyed an action-packed holiday in Dubai as he counts down the last few days to the kick-off of the biggest event on the world sporting calendar.
He flew in with Emirates and was welcomed to the airline’s home base by cabin crew representing each of the 32 nations taking part in the soccer spectacle in South Africa.
The fun-loving leopard was in no mood to take a break from football, though, and quickly rounded up some of the crew for a kick-about at Dubai International Airport. He was then given the VIP treatment from South African cabin crew members Cindy Speirs and Gillian Scott who were in no doubt that he would have a ball in Dubai.
“Like Zakumi, all the football fans travelling with Emirates are going to get a great welcome,” said Cindy, from outside Durban, who believes Emirates’ multicultural crew will help make the journey to her homeland extra special. “The crew is made up of more than 120 different nationalities and we are all really looking forward to connecting the world with South Africa.”
Emirates – an Official Partner of the 2010 FIFA World Cup™ – rolled out the red carpet for Zakumi and whisked him on a whistle-stop tour of all Dubai’s top spots before giving him a bird’s-eye view of the emirate from the helipad of the iconic Burj Al Arab. Gillian was delighted the mascot had the chance to see all the highlights of Dubai. “It is great to have Zakumi here and I am sure he is having an incredible time,” said Gillian, also from the Durban area. He had a great time at Emirates’ conversation-based destination, catching up with some friends – the Arabian Oryx and some falcons and camels – before indulging in a Timeless Spa treatment during an afternoon spent lazing by the pool. Zakumi will be just one of many thousands of football fans to travel with Emirates this summer and captain Cliff Chetcuti is looking forward to taking them to the party.
“We will be connecting thousands of fans from our network of more than 100 destinations across six continents to South Africa and have made sure they won’t miss any of the action with text updates and match screenings on our award-winning on-board ICE entertainment system.”




Entertainment




The ICE system includes movies, music, and video games. ICE offers over 130 on-demand movie titles and 15 video on demand channels, 60 prerecorded television channels, 350 audio channels, and around 50 video-game titles. ICE can also be accessed in 10 languages such as English, French, German, Spanish, Arabic, Korean, and Japanese. Since 2003, all entertainment options are available on-demand to all classes with options to pause, forward, and rewind them.
Emirates now features docking capability for Apple Inc.'s iPod portable music and video player as of mid-2007. This allows the device's battery to be charged, but also allows integration with Emirates' in-flight entertainment (IFE) system. This also enables the IFE system to play music, television shows, or movies stored on the iPod, as well as function as a control system.
ICE (Information, Communication, Entertainment) is the In-Flight-Entertainment system operated by Emirates.
Introduced in 2003, ICE is available on all new aircraft and features between 600 and 1000 channels to all passengers. ICE is found on the airline’s Airbus A380-800, Airbus A340-500, Boeing 777-300ER and Boeing 777-200/LR aircraft. It is also available on all Boeing 777–300 aircraft which have all been retrofitted. In July 2007, Emirates introduced ICE Digital Widescreen, an updated version of ICE. It offers over 1000 channels of entertainment (up from 600) available to all passengers. ICE Digital Widescreen is available on all new aircraft.
Information
The system is based on the 3000i system from Panasonic Avionics Corporation. ICE provides passengers with a direct data link to BBC News. ICE is the first IFE system to be connected directly to automatic news updates. This is complemented by ICE's Airshow moving-map software from Rockwell Collins. Exterior cameras located on the aircraft can be viewed by any passenger, through the IFE system, during takeoff and landing. Emirates was also one of the first airlines to introduce high-speed, in-flight Internet service along withSingapore Airlines, by installing the Inmarsat’s satellite system and became the second airline in the world to offer live international television broadcasts using the same system.



Emirate's Superluxe Airbus A380 Makes Flying Fun Again





SAN FRANCISCO -- The world's biggest jetliner brings back the golden era of air travel, when flying was an event so grand men wore ties and women wore furs. That is, it will bring it back if you've got $14,000. That kind of cash buys a first-class ticket for a New York-Dubai round trip on Emirates airline's new A380, a 489-seat behemoth where the 14 people rich enough to sit in first class enjoy hot showers, massaging chairs, 1,000 channels and seven-course meals served on china and linen. Oh -- there's also a bar with a waterfall. If you're like the rest of us and have just $1,500, you get a seat sandwiched between nine other people, a 9-inch TV screen and space in an overhead bin. But the seat's comfy, there are 500 channels, and the cup holder's gyroscopic.
Dubai-based Emirates is adding 58 A380 super-jumbo jets to its fleet as fast as Airbus can build them. It picked up the first one last week and made themaiden voyage from Dubai to New York on Friday. Emirates is adding service from Dubai to San Francisco and Los Angeles by the end of the year, and even though it's using the more conventional Boeing 777-200 on those runs, it brought the A380 to San Francisco Monday to show people how the other half lives. Huge doesn't begin to describe the A380. It's 238 feet long, it weighs 560 tons and it carries 82,000 gallons of fuel. The airline says the plane burns just 3.1 liters of fuel per passenger per 100 kilometers (a little more than three quarts of fuel per passenger every 60 miles), a figure it boasts is "better than most hybrid passenger cars."






Kids go free to Dubai




Fly to Dubai between 14th May and 30th September 2010 and give your family a holiday they will never forget.This exciting offer includes complimentary flights, accommodation, meals and entry to Dubai’s amazing children’s attractions for two children under the age of 16. Pay by MasterCard and you can enjoy 10% off the cost of the package*(MasterCard will contribute US$ 5 to the Emirates Airline Foundation for every payment made using a MasterCard card).
Coinciding with Dubai Summer Surprises, the region’s biggest and most celebrated summer event, our promotion offers non-stop entertainment and fun-filled activities at the ultimate family holiday destination.
We’ve lined up exclusive bargains with select partners at The Dubai Mall so that you can shop to your heart’s content with great offers on everything from fashion, jewellery and home furnishings to dining. You can also indulge yourself with spa treatments and other health and beauty services.



2009 Awards






แฟนฟุตบอลเตรียมเฮกับสุดยอดแพ็คเกจฟุตบอลโลก ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ 2010 จากสายการบินเอมิเรตส์






ในที่สุด สายการบินเอมิเรตส์ได้เปิดตัวแพ็คเกจเดินทางสุดพิเศษเพื่อร่วมชมศึกฟุตบอลโลก 2010 เพื่อให้แฟนฟุตบอลจากทั่วโลกได้สัมผัสสุดยอดประสบการณ์กีฬาแห่งความทรงจำของชีวิต ในฐานะตัวแทนจัดการด้านการเดินทางอย่างเป็นทางการ ในการแข่งขันชิงถ้วยฟุตบอลโลก ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ 2010 ที่แอฟริกาใต้ สายการบินเอมิเรตส์พร้อมมอบข้อเสนอแพ็คเกจการเดินทางไปชมการแข่งขันที่ออกแบบมาเฉพาะ ซึ่งจะรวมถึงเที่ยวบินโดยสาร ที่พัก บริการรถรับ-ส่ง และบัตรเข้าชมการแข่งขัน นอกจากนี้ในแพ็จเกจดังกล่าว เอมิเรตส์ สายการบินชั้นนำที่ได้รับการรับรองด้วยรางวัลมากมาย ยังเปิดโอกาสให้คุณได้ร่วม “ตามเชียร์ทีมในดวงใจ” ไปตลอดการแข่งขัน ซึ่งนับเป็นบทพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นทุ่มเทของสายการบินฯ ที่มีต่อเกมการแข่งขันอันยิ่งใหญ่ และต่อเหล่าบรรดาแฟนๆ ลูกหนังทั้งหลาย
นอกจากนี้ แฟนฟุตบอลไม่ต้องรอคอยจนกระทั่งทีมโปรดของคุณผ่านเข้ารอบคัดเลือก เนื่องจากแพ็คเกจสุดพิเศษนี้ไม่เพียงแต่คุณจะสามารถแลกคืนเงินได้ในกรณีที่ทีมประเทศที่คุณเชียร์อยู่แพ้การแข่งขัน แต่ยังเป็นการการันตีว่าเหล่าแฟนๆ ของแต่ละทีมจะมีตั๋วเข้าชมการแข่งขันในทุกนัดที่ทีมโปรดของคุณลงแข่ง จนอาจไปถึงนัดชิงชนะเลิศในวันที่ 11 กรกฎาคมปีหน้าสายการบินเอมิเรตส์ มอบโอกาสให้บรรดาแฟนลูกหนังได้ติดตามเชียร์หนึ่งใน 20 ทีม ได้แก่ ออสเตรเลีย, อาร์เจนตินา, บราซิล, เดนมาร์ก, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, กรีก, ฮอลแลนด์, ไอร์แลนด์, อิตาลี, ญี่ปุ่น, นิวซีแลนด์, รัสเซีย, เซอร์เบีย, สโลกวาเกีย, แอฟริกาใต้, เกาหลีใต้, สเปน และสหรัฐอเมริกา ขณะนี้บรรดาแฟนฟุตบอลอาจจะยังไม่ทราบว่าทีมโปรดของคุณจะลงเตะที่สนามไหน แต่ไม่ว่าสุดท้ายเมืองใดจะเป็นสถานที่จัดการแข่งขันในรอบการแข่งแบ่งสาย หรือสุดท้ายแล้วทีมต่าง ๆ จะได้แข่งที่ใดในรอบตัดเชือก แพ็คเกจของเอมิเรตส์ ซึ่งรวมถึง ตั๋วเครื่องบิน ตั๋วชมการแข่งขัน ที่พัก และบริการรถรับ-ส่ง ก็จะยังคงครอบคลุมได้ถึงทุกสนามที่ทำการแข่งขัน
ริชาร์ด วอน รองประธานอาวุโสฝ่ายปฏิบัติการการค้าระดับโลกของสายการบินเอมิเรตส์ กล่าวว่า “เรามีความยินดีในฐานะผู้เชี่ยวชาญในการให้บริการด้านการท่องเที่ยวระดับแนวหน้าให้กับแฟนฟุตบอลทั่วโลก”“การได้สนับสนุนทีมในดวงใจของคุณในศึกฟุตบอลโลก นับเป็นโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิตสำหรับแฟนฟุตบอลหลายๆ คน และเราก็มุ่งหวังที่จะมอบประสบการณ์ที่มิอาจจะลืมเลือนได้ให้แก่คุณ”



15 สปอนเซอร์หยุดโลก

ฟุตบอลโลกเป็นมหกรรมกีฬาที่มีผู้ชมทั่วโลกมากที่สุด มากกว่าโอลิมปิกและซูเปอร์โบวล์ จากข้อมูลปี 2002 ที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพร่วม FIFA ได้ประมาณการไว้เป็นจำนวน 28,800 ล้านคนจากทั้ง 64 แมตช์และทุกช่องทางทั้งทีวีและในสนาม ส่วนครั้งนี้ฟีฟ่าประมาณไว้ถึง 32,000 ล้านคน เพิ่มขึ้น 10% ส่วนบัตรเข้าชมในสนามครั้งนี้มี 3.1 ล้านใบจาก 64 เกม ขายหมดแล้ว
นอกจากเฝ้าชมเกมสดๆ ด้วยทีวีแล้ว แต่ละคนยังอาจกินฟาสต์ฟู้ดแกล้มเบียร์หรือน้ำอัดลม ขับรถออกไปหาที่ชมนอกบ้าน ถ่ายรูปบรรยากาศเป็นที่ระลึก โทรเล่าให้เพื่อนฟัง จ่ายค่าอาหารด้วยบัตรเครดิต ดูบันทึกภาพเด็ดการแข่งขันทางทีวีหรืออินเทอร์เน็ต พูดคุยกันใน IM, Chat, Webboard, หรือ Blogs
ธุรกิจใหญ่ๆ ระดับโลกจึงแย่งโอกาสกันเข้าสู่สายตาแฟนบอลผ่านมหกรรมหยุดโลกครั้งนี้ โดยมี 15 บริษัทยักษ์ใหญ่ทุ่มงบฝ่าด่านเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการ (Official Partner) ทำสัญญาและได้รับสิทธิรูปแบบต่างๆ ส่วนบริษัทอื่นๆ ที่ไม่ได้เป็น Partner ก็ร่วมเกาะกระแสบอลโลกได้ไม่ผิดกติกา แต่ก็จะไม่ได้รับสิทธิหลายๆ อย่างที่ฟีฟ่าสงวนไว้ให้ Partner เท่านั้น
ในแต่ละแมตช์การแข่งขัน บริษัท Partner แต่ละรายจะได้โควต้าจำนวนตั๋วเข้าชมถึง 16% ของความจุสนามแต่ไม่เกิน 25,000 ใบ เอาไปให้ผู้บริหาร พนักงานที่มีผลงานดีเด่นหรือทำยอดขายทะลุเป้า ลูกค้าสำคัญหรือลูกค้าที่ชิงโชคชนะ ในขณะที่สมาคมฟุตบอลของชาติที่แข่งในนัดนั้นได้ข้างละ 9.5% เท่านั้น (รวม 2 ชาติ 19%)
ซึ่ง1ในนั้น EMIRATES
เป็นสายการบินที่เป็นสปอนเซอร์รายการม้าแข่งดังๆ ทั่วโลกมานาน รวมถึง Dubai Cup เริ่มเข้าร่วมกับฟีฟ่าตั้งแต่ปี 2003 ในศึกฟุตบอลเยาวชนโลกซึ่งจัดที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จากนั้นก็มาเป็นสปอนเซอร์ให้ยักษ์ใหญ่รายใหม่ของบอลอังกฤษคือทีม Chelsea
สายการบินเอมิเรตส์ครอบคลุม 58 ที่หมาย 41 ประเทศทั้งในยุโรป, ตะวันออกกลาง, เอเชีย, แอฟริกา และออสเตรเลีย สายการบินเอมิเรตส์เริ่มเป็นพันธมิตรกับฟีฟ่าครั้งแรกในศึก ฟีฟ่า เวิลด์ คัพเมื่อปี 2006 ซึ่งเอมิเรตส์ได้กลายเป็นสายการบินแรกที่เป็นผู้สนับสนุนการจัดกีฬาอันยิ่งใหญ่นี้ หลังจากความสำเร็จของการแข่งขันฟุตบอลโลกที่ประเทศเยอรมนี สายการบินเอมิเรตส์ได้ตอกย้ำสถานะการเป็นพันธมิตรผู้ร่วมจัดการแข่งขันอย่างเป็นทางการของฟีฟ่าไปจนถึงปี 2014ในฐานะตัวแทนจัดการด้านการเดินทางอย่างเป็นทางการของการแข่งขันชิงถ้วยฟุตบอลโลก ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ 2010 ที่แอฟริกาใต้ สายการบินเอมิเรตส์พร้อมมอบข้อเสนอแพ็คเกจการเดินทางไปชมการแข่งขันที่ออกแบบมาเฉพาะ ซึ่งจะรวมถึงเที่ยวบินโดยสาร ที่พัก บริการรถรับ-ส่ง และบัตรเข้าชมการแข่งขัน


มิลาน รับเละ2.4พันล้าน เอมิเรตส์จ่อเป็นสปอนเซอร์

สโมสร “ปีศาจแดง-ดำ” เอซี มิลาน ยอดทีมจากกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ได้รับข่าวดี เมื่อ เอมิเรตส์ สายการบินของ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ มาเป็นสปอนเซอร์คาดอกเสื้อแทน บีวิน ตั้งแต่ซีซั่นหน้า เป็นต้นไป หลังบรรลุข้อตกลง 4 ปี โดยประกาศยืนยันอย่างเป็นทางการ แหล่งข่าววงในของ เอซี มิลาน เปิดเผยว่า เอมิเรตส์ สายการบินชื่อดังของชาวอาหรับ จะมาเป็นผู้สนับสนุนสโมสรตั้งแต่ฤดูกาล 2010/2011 เป็นต้นไป ในข้อตกลงติดโลโก้คาดหน้าอกเสื้อเป็นเวลา 4 ปีมูลค่า 50 ล้านยูโร (หรือราว 2.4 พันล้านบาท) พร้อมกับ อาจมีการลงทุนเพิ่มเติมในทีมแชมป์ยุโรป 7 สมัย ขึ้นอยู่กับความสำเร็จของการจับมือกัน คราวนี้
” มันเริ่มจากความเป็นเพื่อน และ มันอาจกลายเป็นความรัก หรือ ยังคงเป็นเพื่อน ต่อไป แต่สิ่งที่แน่นอน คือ ที่ดูไบ มีความกระตือรือร้นที่อยากจะทำข้อตกลงนี้ ” แหล่งข่าววงในของสโมสร กล่าว.ทั้งนี้ ข้อตกลงดังกล่าว จะมีการประกาศยืนยัน ในอีก 2-3 วันข้างหน้า โดย ชีค อาเหม็ด บิน ซาเอ็ด อัล-มัคทูม ประธานบริษัท เข้าร่วมด้วย แต่ไม่ได้รวมถึงการขายหุ้นของทัพ ปีศาจแดง-ดำ อนึ่ง สายการบินชื่อดังของสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ ?ซึ่งเป็นสปอนเซอร์สนามเหย้าของ อาร์เซนอล สโมสรชั้นนำของลีกอังกฤษ อยู่ในเวลานี้ จะเข้ามาเป็นสปอนเซอร์คาดอกเสื้อของทีม มิลาน แทน บีวิน บริษัทแทงพนันออนไลน์ของออสเตรีย ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปี 2010 ถึง เดือนมิถุนายนปี 2014


บินท่องโลกอย่างมีระดับกับสายการบินเอมิเรตส์




สายการบินเอมิเรตส์ร่วมกับโรงแรมอาร์มานี่ ดูไบ และ ดิ แอทเดรส ดาวน์ทาวน์ ดูไบ พบกับข้อเสนอสุดพิเศษ เข้าพักฟรี ณ โรงแรมหรู ในดูไบ สำหรับผู้โดยสารระดับชั้นเฟิร์สคลาส และชั้นธุรกิจ ผู้โดยสารระดับชั้นเฟิร์สคลาสจะได้รับแพคเกจที่พักจากโรงแรมอาร์มานี่ ดูไบ จำนวน 2 คืนพร้อมมื้ออาหารเช้า และ 1 คืนพร้อมมื้ออาหารเช้าสำหรับผู้โดยสารระดับชั้นธุรกิจที่โรงแรมดิ แอทเดรส ดาวน์ทาวน์ ดูไบ นอกจากข้อเสนอสุดพิเศษนี้แล้ว ผู้โดยสารยังจะได้รับโอกาสที่จะพบกับประสบการณ์สุดแสนประทับใจในการได้รับบัตรเข้าชมฟรีอาคารที่สูงที่สุดในโลก “เบิร์จ คาลิฟา” อีกด้วย
สำหรับข้อเสนอสุดพิเศษที่มีให้แก่ผู้โดยสารระดับชั้นเฟิร์สคลาส และชั้นธุรกิจทั้งหมดนี้จะเริ่มตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2553 จนถึง 1 สิงหาคม 2553 เท่านั้น โดยมีเงื่อนไขว่าผู้โดยสารจะต้องถือตั๋วเครื่องบินประเภทไป-กลับที่ระบุวันและเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ จะต้องเป็นการเดินทางมาจากนอกเขตสหรัซอาหรับเอมิเรตส์ และการจองตั๋วโดยสารจะต้องจองในชั้นเฟิร์สคลาส และชั้นธุรกิจเท่านั้น
รัสเซล เชลล์ดอน รองประธานอาวุโส เอมิเรตส์เน็ตเวิร์คเซลล์ แอนด์ เดเวอลอปเมนท์ กล่าวว่า “เรามีความพร้อมที่จะพัฒนา ปรับปรุง และเพิ่มคุณค่าในการบริการสำหรับผู้โดยสารคนพิเศษของเราอยู่เสมอ จากข้อเสนอทั้งหมดนี้ แขกผู้โดยสารไม่ใช่เพียงจะได้รับแต่ประสบการณ์การบินกับสายการบินเอมิเรตส์ สายการบินที่ได้รับรางวัลการันตีในคุณภาพระดับชั้นโดยสารเฟิร์สคลาส และชั้นธุรกิจ แต่ยังจะได้สัมผัสกับสไตล์สุดหรู จะมีอะไรที่ดีไปกว่าการได้เข้าพักในสองโรงแรมที่หรูหรา ทันสมัย และมีความเป็นเอกลักษณ์ อย่างโรงแรมอาร์มานี่ ดูไบ และดิ แอทเดรส ดาวน์ทาวน์ ดูไบ “เราได้ขยายข้อเสนออันสุดแสนพิเศษ และน่าประทับใจนี้ให้แก่ผู้โดยสารชั้นพิเศษทุกเที่ยวบินของสายการบินเอมิเรตส์ ”


1+1=3 แอร์บัส ผนึกกำลังเอมิเรตส์ แอร์ไลน์ ฝ่าวิกฤติ






ธุรกิจการบินมักถูกระทบจากวิกฤตการณ์เป็นด่านแรก แต่แอร์บัส กลับเลือกบุกเต็มกำลัง โดยจับมือเอมิเรตส์แอร์ไลน์ "บินร่วม" ฝ่าวิกฤติวิกฤติการณ์ซึ่งธุรกิจการบินต้องประสบมาตลอดปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจโลก น้ำมันแพง หวัดใหญ่2009 ฯลฯ แต่แทนที่จะดำเนินงานแบบเซฟๆ "แอร์บัส" ผู้เล่นรายใหญ่ของอุตสาหกรรมผลิตเครื่องบิน กลับเลือกหยิบกลยุทธ์แสวงหาพันธมิตร โดยผนึกกำลังกับ "เอมิเรตส์ แอร์ไลน์" สายการบินแห่งชาติสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ประเทศที่ได้ชื่อว่าอาจจะเป็น "เศรษฐี" รายสุดท้ายของโลก เพื่อ "บินร่วม" ฝ่าวิกฤติครั้งนี้
ในช่วง 20 ปีก่อน ธุรกิจสายการบินเคยได้ชื่อว่าเป็นอุตสาหกรรมที่ "ไม่มีวันตาย" และมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่หลังเหตุการณ์ 9/11 ต่อด้วยวิกฤติราคาน้ำมัน วิกฤติเศรษฐกิจโลก จนถึงไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ ปัจจัยลบต่างๆ ทำให้ธุรกิจสายการบินเริ่ม ปักหัวลง" ภาพที่เห็นคือสายการบินทั่วโลกทยอยปิดตัวลง แม้แต่บริษัทโบอิ้ง ผู้ผลิตเครื่องบินรายใหญ่ของโลกยังเจอปัญหายอดการสั่งผลิตที่ลดลงอย่างฮวบฮาบ แต่ยังมีสองผู้เล่นที่มีกำลังเข้มแข็งที่จะฝ่าวิกฤติไปได้ อย่างบริษัทแอร์บัส ที่ได้ร่วมมือกับ เอมิเรตส์แอร์ไลน์ สายการบินของดินแดนเศรษฐีน้ำมัน
การผนึกกำลังตามทฤษฏี 1+1=3 จะเป็นกุญแจสำคัญของความสำเร็จหากพลิกปูมประวัติศาสตร์ธุรกิจการบินของโลกจะพบว่าเป็นการแข่งขันของสองผู้ผลิตเครื่องบินมหาอำนาจจากฝั่งอเมริกานำโดยบริษัท "โบอิ้ง" และฝั่งยุโรปนำโดย "แอร์บัส"ผู้ที่ครองตลาดได้อย่างยาวนานและเบ็ดเสร็จคือโบอิ้ง ซึ่งมีลูกค้ารายใหญ่เป็นสายการบินในประเทศและกองทัพอากาศสหรัฐ รวมถึงสายการบินอื่นทั่วโลก ขณะที่แอร์บัสมีลูกค้าหลักคือสายการบินในยุโรป



สายการบินเอมิเรตส์ เผยผลประกอบการครึ่งปีแรกด้วยผลกำไร 205 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งสูงขึ้นกว่าปีก่อนหน้า


สายการบินเอมิเรตส์แถลงผลประกอบการด้วยผลกำไรสุทธิจากการดำเนินงานเป็นมูลค่า 205 ล้านเหรียญสหรัฐ จากช่วงหกเดือนแรกของปีงบประมาณซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2552 ซึ่งเป็นผลกำไรที่เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 165% จากผลกำไร 77 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงเดียวกันของปี 2551 ในช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณปัจจุบัน สายการบินเอมิเรตส์มีส่วนในการสร้างรายได้ให้กับเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยทางตรงคิดเป็นเงินมูลค่าประมาณ 2.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ และโดยอ้อมมูลค่าประมาณ 3.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากการให้บริการผู้โดยสารกว่า 13 ล้านคนปริมาณสินค้าทางอากาศที่ขนส่งกว่า 700,000 ตัน ทั้งยังช่วยผลักดันให้ธุรกิจอื่น ๆ ที่ท่าอากาศยานนานาชาติดูไบเติบโตและมีรายได้สูงขึ้น
สายการบินเอมิเรตส์ยังช่วยสนับสนุน และกระตุ้นการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินและการท่องเที่ยวด้วยการมุ่งขยายฝูงบินและเครือข่ายการบินครอบคลุมทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง โดยมีการรับมอบเครื่องบินใหม่เพิ่มอีก 8 ลำ พร้อมทั้งเปิดให้บริการจุดหมายปลายทางแห่งใหม่อีก 2 ที่ และเพิ่มจำนวนเที่ยวบินมากขึ้น อีกทั้งยังเดินหน้าติดตั้งระบบความบันเทิงอันล้ำสมัยและระบบโทรศัพท์บนเครื่องบินในฝูงบินของเอมิเรตส์ รวมถึงการลงทุนด้านการฝึกอบรมพัฒนาศักยภาพบุคลากรจำนวน 29,000 คน นอกจากนี้ สายการบินเอมิเรตส์ได้ลงทุนด้วยเม็ดเงินกว่า 11.1 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับ 2 แคมเปญใหญ่เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไปยังดูไบ โดยสายการบินเอมิเรตส์ได้ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อเปิดตัวแคมเปญ “Keep Discovering Dubai” ในช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายนที่ผ่านมา โดยตัวแทนจากภาคธุรกิจท่องเที่ยวและสื่อมวลชนจากทั่วโลกกว่า 2,000 คนได้มีโอกาสร่วมสัมผัสประสบการณ์ในสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ในดูไบ และแคมเปญ “Meet Dubai” ที่สายการบินเอมิเรตส์ทุ่มทุนงบประมาณเป็นจำนวนมหาศาลเพื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ไปทั่วโลก เพื่อแสดงเอกลักษณ์อันโดดเด่นในด้านความเป็นอยู่และผู้คนในดูไบ


เอมิเรตส์ ชิงเจ้าเวหา ติดปีกบริการทิ้งห่างสายการบินอื่น

ในปีนี้ที่ครบรอบ 12 ปี ของการเปิดให้บริการในไทยของสายการบินเอมิเรตส์ ก็เป็นปีที่สายการบินเอมิเรตส์ได้รางวัลสายการบินยอดเยี่ยมของโลก Airline of the Year เป็นปีที่ 5 หลังจากที่ได้ติดต่อกันมาแล้ว 4 ปี และสายการบินเอมิเรตส์ยังได้รางวัลด้านบริการอื่นๆอีกรวมแล้ว 200 รางวัล ความสำเร็จของสายการบินเอมิเรตส์มาจากการเป็นผู้ริเริ่มด้านบริการใหม่ๆ แก่ผู้โดยสารหลายประการ โดยอาศัยทั้งคนและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า เอมิเรตส์เป็นสายการบินแรกของโลกที่ติดจอวิดีโอทุกที่นั่ง แม้จะเป็นในชั้น Economy Class สำหรับผู้โดยสารได้เพลิดเพลินกับภาพยนตร์ที่สามารถเลือกชมได้หลายเรื่องระหว่างการเดินทาง ติดโทรศัพท์ทุกที่นั่งให้ผู้โดยสารสามารถติดต่อภาคพื้นดินได้ สามารถส่งโทรสารติดต่อธุรกิจภาคพื้นดินได้แม้บินอยู่ที่ระดับสูง 35,000 ฟิต การที่สายการบินเอมิเรตส์มีพนักงานบริการบนเครื่อง หรือแอร์โฮสเตสถึง 82 ชาติ รวมทั้งไทยทำให้เอมิเรตส์สามารถให้บริการโดยสามารถสร้างความพอใจสูงสุดแก่ผู้โดยสาร ไม่ว่าจะเป็นชนชาติใด สายการบินเอมิเรตส์ยังให้บริการในทุกสถานการณ์ คุณสุนทร สุรีย์ ผู้จัดการทั่วไป สายการบินเอมิเรตส์ ประจำประเทศไทย กัมพูชา เมียนมาร์ และลาว กล่าวว่า
แม้ในสภาวะสงครามเราก็ให้บริการไม่หยุด ตั้งแต่สงครามทะเลทราย มาจนถึงเหตุการณ์ก่อการร้ายเมื่อวันที่ 11 เดือนกันยายนปีที่แล้ว ขณะที่สายการบินอื่นหยุดการให้บริการหรือลดเที่ยวบิน เราก็ยังให้บริการอย่างต่อเนื่องแม้จะมีผู้โดยสารน้อยไม่คุ้มกับ ค่าใช้จ่ายก็ตามŽ ด้วยสำนึกแห่งการบริการ และการมองการณ์ไกลของผู้บริหารสายการบินเอมิเรตส์ที่นำเทคโนโลยีสมัยใหม่กับคนมาผสานกันได้อย่างกลมกลืน ได้ก่อกำเนิดบริการที่เหนือว่าคู่แข่งจนทำให้เอมิเรตส์ได้รับการยกย่องเป็นสายการบินยอดเยี่ยมของโลกติดต่อกันมา 5 ปี จนถึงปีนี้ จุดเด่นทางการตลาดอีกประการหนึ่งของสายการบินเอมิเรตส์คือ เครื่องบินทุกลำที่เอมิเรตส์ใช้ในการให้บริการในสายการบิน จะมีอายุการใช้งานเฉลี่ยเพียง 37 เดือน ขณะที่เครื่องบินของสายการบินอื่นทั่วโลกมีอายุการใช้งานเฉลี่ย 156 เดือน การที่เครื่องบินแต่ละลำของสายการบินเอมิเรตส์ใช้งานไม่นานนักก็เปลี่ยนเครื่องใหม่นี้ใช่แต่จะก่อให้เกิดความมั่นใจในความปลอดภัยในการเดินทางของ ผู้โดยสารมากขึ้นเท่านั้น ยังช่วยให้เกิดการประหยัดค่าใช้จ่ายด้วย เพราะเครื่องบินที่อายุการใช้งานมากจะมีการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น เอมิเรตส์มีการเปิดเส้นทางการบินใหม่ๆ เพิ่มขึ้นตลอดเวลา จากเดิมเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่มีไม่กี่เส้นทางเฉพาะเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง ยุโรป ปัจจุบันสายการบินเอมิเรตส์มีเส้นทางการบินที่ขยายครอบคลุมเมืองสำคัญทั่วโลก ทั้งอเมริกา เอเชียตะวันออก แอฟริกา และยังใช้กลยุทธ์สะสมไมล์ที่เรียกว่า "สกาย เวิร์ดส์" เป็นกลยุทธ์สำคัญ



เอมิเรตส์ร่วมพัฒนาสายการบินต่างชาติ ทุ่ม 70 ล้านเหรียญสหรัฐถือหุ้นแอร์ลังกา

สายการบินเอมิเรตส์ ทุ่ม 70 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อเข้าถือหุ้นแอร์ลังกา พร้อมเตรียมส่งบุคลากรเข้าร่วมบริหารและปรับปรุงสายการบินให้ทันสมัย หวังดันแอร์ลังกาเป็นสายการบินชั้นนำในภูมิภาคที่สามารถให้บริการตามมาตรฐานสากล นับเป็นครั้งแรกของการร่วมพัฒนาสายการบินต่างชาติของสายการบินเอมิเรตส์สายการบินเอมิเรตส์ สายการบินนานาชาติชั้นนำจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นำโดย ฯพณฯ ชีค อาเหม็ด บิน ซาอีด อัล มัคตูม ประธานเอมิเรตส์กรุ๊ป และมร. ดิกสัน นิลาวีรา เลขา ธิการกระทรวงการคลังศรีลังกา ร่วมลงนามในสัญญาการเข้าถือหุ้นร้อยละ 40 ในแอร์ลังกา ของสายการบินเอมิเรตส์ รวมมูลค่าหุ้นทั้งสิ้น 70 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยแบ่งชำระในวันเซ็นสัญญา 45 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนที่เหลือจะชำระในอีกสองปีข้างหน้า การเข้าถือหุ้นครั้งนี้ทำให้สายการบินเอมิเรตส์ได้รับสิทธิ์เข้าบริหารกิจการของแอร์ลังกา รวมทั้งในส่วนของการให้บริการในภาคพื้นดินและการบริการอาหารเครื่องดื่ม เป็นระยะเวลา 10 ปี ภายใต้ขอบเขตและแนวทางที่คณะกรรมการบริหารกำหนดไว้
ปัจจุบันแอร์ลังกาให้บริการด้วยฝูงบิน Lockheed Tristar L 1011 ของตนเอง และฝูงบินแอร์บัสอีก 5 ลำ ที่ได้มาจากการเช่าซื้อ ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว สายการบินเอมิเรตส์ได้วางแผนจะนำเครื่องบินแอร์บัส A330-200 จำนวน 6 ลำ มาใช้งานแทนเครื่องบินไตรสตาร์ 4 ลำ และเครื่องบินแอร์บัส A320 2 ลำ ที่มีอายุการใช้งานค่อนข้างมากแล้ว ซึ่งจะมีขีดความสามารถในการบริการเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 70 และยังช่วยลดค่าใช้จ่ายอีกด้วย ส่วนนโยบายการดำเนินงานจะเป็นไปตามกลยุทธ์ขยายเครือข่ายการบินครอบคลุมภูมิภาคเอเชีย ออสเตรเลีย และแอฟริกา ขณะเดียวกันก็จะเพิ่มเที่ยวบินไปยังยุโรป ยุบบริการที่ขาดทุนหรือไม่ก่อกำไร พัฒนาเส้นทางบินใหม่ ๆ และเพิ่มเที่ยวบินในเส้นทางที่มีผลประกอบการเป็นที่น่าพอใจ
ข้อความตอนหนึ่งในแถลงการณ์ของรัฐบาลศรีลังกาแจ้งว่า "การที่จะพัฒนาสายการบินแห่งชาติ ซึ่งรัฐบาลถือหุ้นอยู่ถึงร้อยละ 60 นั้นต้องอาศัยฝูงบินที่มีสมรรถนะสูงขึ้น และสามารถรองรับจำนวนผู้โดยสารได้มากขึ้น การปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากร รวมทั้งการส่งเสริมความร่วมมือกันระหว่างประเทศ การแสวงหาความร่วมมือกับสายการบินชั้นนำ จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ในการก้าวสู่การเป็นสายการบินระดับนานาชาติ และยังช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลกอีกด้วย"เอมิเรตส์ร่วมพัฒนาสายการบินต่างชาติ ทุ่ม 70 ล้านเหรียญสหรัฐถือหุ้นแอร์ลังกา
"นอกจากนี้ การเข้ามาของสายการบินเอมิเรตส์ จะช่วยให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนศรีลังกามากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการท่องเที่ยวของศรีลังกา โดยเฉพาะในภาคธุรกิจบริการ รวมทั้งการเพิ่มอัตราการจ้างงานภายในประเทศ และการส่งเสริมการลงทุน" ทางด้าน ฯพณฯ ชีค อาเหม็ด บิน ซาอีด อัล มัคตูม เปิดเผยว่า นับเป็นครั้งแรกที่สายการบินเอมิเรตส์เข้าถือหุ้นในกิจการของสายการบินอื่น และรู้สึกยินดีที่ทางรัฐบาลศรีลังกาให้ความไว้วางใจคัดเลือกสายการบินเอมิเรตส์มาเป็นพันธมิตรทางการค้า การเข้าถือหุ้นครั้งนี้ถือเป็นโอกาสการลงทุนที่ดีของสายการบินเอมิเรตส์ ทางสายการบินฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าแอร์ลังกาจะสามารถเติบโตเป็นสายการบินระดับนานาชาติได้ เนื่องจากเป็นสายการบินที่มีศักยภาพสูง พร้อมกันนี้ผมขอชื่นชมความพยายามและการเตรียมงานของผู้แทนเจรจาของทั้งสองฝ่ายที่ทำงานประสานกันได้อย่างดียิ่ง"









ขยายครอบคลุม 17 จุดบินหลักทั่วโลก เอมิเรตส์รุกตลาดอเมริกาใต้





วิเคราะห์ภูมิหลังสายการบินเอมิเรตส์


กว่า20ปีที่สายการบินเอมิเรตก่อตั้งขึ้นซึ่งเป็นสายการบินนานาชาติของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตวันที่ 25 ตุลาคม 1985 เอมิเรตได้เดินเส้นทางการบินจากดูไบแค่2ลำโดยการเช่าเครื่องโบอิ่ง737และแอร์บัส300บี4 และในตอนนี้เป้าหมายของเราคือคุณภาพไม่ใช่ปริมาณและในช่วงระยะเวลาเริ่มต้นเราได้บินแค่อาณาเขตเล็กๆเอมิเรตค่อยๆพัฒนาการเดินทางและท่องเที่ยวไปทั่วโลกรวมตัวเป็นกลุ่มเพื่อให้เป็นที่รู้จักทั่วโลกมากกว่าความรับผิดชอบของเราก็คือการรักษาคุณภาพมาตรฐานในทุกแง่มุมธุรกิจของเรา
ถึงแม้ว่ากิจการทั้งหมดรัฐบาลของดูไบจะเป็นเจ้าของ,เอมิเรตก็เติบโตขึ้นในอัตราที่ไม่สูงนักถึงแม้ว่าจะได้รับการคุ้มครองจากอุตสาหกรรมภายในประเทศโดยการเก็บภาษีอากรขาเข้าจากคู่แข่งขันการแข่งขันด้วยตัวเลขการเติบโตสำหรับการขนส่งระหว่างประเทศนั้นจะได้เปรียบเพราะดูไบมีนโยบายเปิดน่านฟ้าเราไม่เพียงแต่สนับสนุนด้านนโยบายเท่านั้นแต่เรายังเล็งเห็นความจำเป็นในชีวิตที่เรารักษาความเป็นเอกลักษณ์ในด้านการแข่งขัน
หลังจากนั้นเราเริ่มลงทุนโดยรัฐบาลดูไบได้เล็งเห็นความเหมาะสมในการที่จะให้ธุรกิจของเอมิเรตเป็นอิสระอย่างเป็นรูปธรรมและในวันนี้เราได้เติบโตซึ่งยอดเติบโตของเราไม่เคยต่ำกว่า 20เปร์เซ็นต์ในทุกๆปีและจากรายงานผลกำไรประจำปีในทุกๆปีจะอยู่1ใน3ของปฏิบัติการทั้งหมดเราเริ่มต่อยอดด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วและได้พยายามอย่างต่อเนื่องในการจัดการอุตสาหกรรมการบริการที่ดีที่สุดนี่คือความลับที่ทำให้เอมิเรตประสบความสำเร็จในธุรกิจสายการบินประกอบไปด้วย
1.รางวัลชนะเลิศระดับนานาชาติด้านการจัดสรรการขนส่ง
2..การจัดการบินที่เต็มอัตราและจัดสรรเวลาได้อย่างลงตัว
3.ผู้ดูแลภาคพื้นดินสำหรับการบินนานาชาติ
4.สายการบินที่มีการพัฒนาด้านเทคโนโลยี


องค์กรและการเติบโต


เอมิเรตส์กลายเป็น1ในสายการบินที่เติบโตเร็วที่สุดในโลกโดยในปี1990รายได้เพิ่มขึ้นประมาณ100ล้านเหร๊ยญต่อปี
และเข้าใกล้500ล้านเหรียญในปี1993 มาจากการขนส่งสินค้า 68000 ตัน และ1.6ล้านเหรียญจากผู้โดยสารในปีเดียวกัน
สงครามเปอร์เซียถูกช่วยโดยเอมิเรตจากการปกป้องอาณาเขตจากสายการบินอื่นนอกอาณาเขต
เอมิเรตเป็นสายการบินเดียวที่บินต่อเนื่องกัน10วันในช่วงสงคราม เอมิเรตปฏิบัติการด้วยเครื่องบินแอร์บัสเอ310เอส 9 ลำในปี1998 หุ้นส่วนที่เห็นด้วยอย่างสายการบินยูเอสแอร์เวย์ได้เปิดเส้นทางในปี1993เพื่อยินยอมให้เอมิเรตเดินเส้นทางการบิน
ได้ทั่วโลก แต่ก่อนหน้านี้ในปี1994มีองค์การที่เห็นด้วยอย่างไซปรัสแอร์เวย์ซึ่งเป็นสายการบินที่เชื่อมต่อถึง32จุดหมายที่15ท่าอากาศยาน ในเวลานั้นเอมิเรตเป็นสายการบินที่ใหญ่เป็นอันดับที่6ในตะวันออกกลาง
เอมิเรตได้รับรายได้643.4ล้านเหรียญในเดือนมีนาคมปี1994 สายการบินมีพนักงานถึง4000คนและมีการขนส่งผู้โดยสารถึง2ล้านคนต่อปีในเส้นทางระหว่าง34จุดหมายที่บินด้วยเครื่องแอร์บัส 18 ลำ และเครื่องโบอิ้ง777รุ่นใหม่่ที่มีมูลค่าถึง 1 พันล้านเหรียญในปี1992เริ่มไปจนถึงฤดูใบไม้ผลิปี1996เครื่องบินได้ถูกเปิดใช้บริการเส้นทางใหม่ไปเมลเบิร์นและสิงค์โปร์
ภายหลังเอมิเรตได้กลายเป็นผู้สั่งเครื่องบินรายใหญ่ทุกปีด้วยความที่มีเงินลงทุนในการจ่ายมาก รัฐบาลดูไบได้จ่ายแค่เพียง50ล้านเหรียญในการก่อตั้งสายการบิน เครื่องบินขนส่งทั้งหมด 92 ลำที่ทำการบินอยู่ในตลาดระดับนานาชาติและเอมิเรตก็มีการแข่งขันที่รุนแรงทั้งในประเทศเป็นพื้นฐานมันสามารถรองรับผู้โดยสารได้ประมาณ 3 ล้านคนต่อปีที่สนามบินนานาชาติดูไบ
ในช่วงกลางปี 1990เอมิเรตได้ขยายวงกว้างอย่างต่อเนื่องในช่วงท้ายปี1990 ธุรกิจการขนส่งที่เติบโต 16 เปอร์เซ็นต์จากรายได้รวมของสายการบินในเดือนพฤษภาคมปี 1998 เอมิเรตส์จ่ายเงินให้รัฐบาลศรีลังกา 70 ล้านเหรียญสำหรับ 40 เปอร์เซ็นต์ในการบินในอาณาเขตของสายการบินศรีลังกาซึ่งส่วนของการตกลงทำสัญญากันของเอมิเรตและศรีลังกาเป็นระยะเวลา 10 ปี ในปี2008 เอมิเรตประกาศจ่ายเงินให้ศรีลังกาในส่วนของสายการบินศรีลังกา
ให้กับรัฐบาลศรีลังกาอย่างไรก็ตามพวกเขาก็ยังไม่มีแผนที่จะย้ายหรือลดกำลังบินในอาณาเขตของสายการบินศรีลังกา


การจัดการภายในองค์กร

สายการบินเอมิเรตมีองค์กรในเครือเป็นตัวสนับสนุนซึ่งในขณะที่การสนับสนุนของรัฐบาลดูไบในการลงทุน
ในบริษัทและการลงทุนในองค์กรของดูไบ จากรายงานผลกำไรทุกๆปีและการเติบโตไม่เคยตกเกินกว่า20เปอร์เซ็นต์
ต่อปี ในช่วง11ปีแรกได้เติบโตขึ้นเป็น2เท่าทุกๆ3ปีครึ่งและต่อมาเพิ่มขึ้นในทุกๆ4ปี ในปี2010เอมิเรตจ่ายเงินปันผลมูลค่า AED956m (260ล้านเหรียญ) เทียบกับ AED2.9bn (793ล้านเหรียญ)ในปี2009 รัฐบาลได้รับDhs7.1 พันล้านเหรียญจากเอมิเรตสำหรับการจ่ายเงินปันผลนั้นเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี1999เป็นการจ่ายเพื่อสิ่งจำเป็นในการเริ่มต้นใช้เงินลงทุนถึง 10ล้านเหรียญและเพิ่มการลงทุนประมาณ80ล้านเหรียญในการก่อตั้งสายการบินซึ่งรัฐบาลดูไบผูกขาดเป็นเจ้าขององค์กรแต่อย่างไรก็ตามมันทำให้ไม่มีการแทรกแซงในสายการบิน


โครงสร้างและการจ้างงาน

เอมิเรตเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจหลากหลายซึ่งประกอบไปด้วบการบริการของสายการบิน
วิศวกรรม การบริการด้านการโรงแรม ด้านการอาหารและการปฏิบัติงานด้านการท่องเที่ยว เอมิเรตให้ความสำคัญกับ 4 อย่างคือสมาชิกในเครือที่มีมากกว่า50องค์กรเอมิเรตมีพนักงานทั้งหมด 36,652 คน องค์กรในเครือเอมิเรตมีพนักงานทั้งหมด 49,950 คน ซึ่งแบ่งเป็นลูกเรือ 10,785 คน พนักงานบนหอการบิน 2237 คน วิศวกร1,904คนและอีก 9,084 คนเป็นผู้คอยรับคำสังและผู้คอยสนับสนุนรับแผนงานอีกมากกว่า 5,000คน


แบรนด์

จากปี2004 สายการบินได้เปลี่ยนสโลแกนจาก Fly Emirates เป็น Keep Discoveringในปี2008
เอมิเรตส์ได้ปล่อยสโลแกนนี้หลักๆไปที่เครือข่ายรอบๆจุดหมายปลายทาง 100 ที่หมายใน 59ประเทศข้าม6ทวีป
จากการที่สโลแกน Keep Discovering and Fly Emirates ข้ามไปยัง6ทวีปนั้น ที่สุดไม่นานมานี้เอมิเรตส์
ได้ปล่อยแคมเปญเพื่อส่งเสริมจุดหมายที่ดูไบโดยใช้สโลแกนว่า Fly Emirates Meet Dubai

ยังมีสโลแกนอื่นๆของสายการบินที่ถูกใช้มาก่อนประกอบด้วย
1.Emirates. The Finest in the Sky (เอมิเรตส์ดีที่สุดในฟากฟ้า)
2.Be Good to yourself. Fly Emirates (เป็นตัวของตัวเองกับฟราย เอมิเรตส์)
3.When was the last time you did something for the first time. Fly Emirates.
(เมื่อถึงเวลาสุดท้ายสิ่งที่คุณจะทำสิ่งแรกคือ ฟราย เอมิเรตส์)
4.Fly Emirates. Keep Discovering (ฟราย เอมิเรตส์ เก็บสิ่งที่ค้นพบ)

เอมิเรตส์ได้แนะนำดีไซน์ใหม่ในเดือนสิงหาคมปี 2008 สำหรับเครื่องแบบพนักงานภาคพื้นที่ถูกออกแบบโดย
Simon Jersey ซึ่งการออกแบบนี้รวมไปถึงหมวก,กระโปรงจีบสีแดง,เสื้อคลุมพอดีตัวและเปลี่ยนรองเท้าเป็นหนังสีแดงรวมถึงกระเป๋าถืออีกด้วยสำหรับเครื่องแบบพนักงานบนเครื่อง,ลูกเรือทั้งชายและหญิงต้องสวมผ้าคาดเอวสำหรับบริการบนเครื่องก่อนที่จะสวมเสื้อคลุม พนักงานต้อนรับผู้ชายต้องสวมสูทสีน้ำตาลซึ่งเป็นสูทลักษณะเฉพาะและสวมเสื้อเชิร์ตสีครีมคาราเมล,เนคไทสีน้ำผึ้งและแดงทั้งชายและหญิงต้องใช้กระเป๋าสีน้ำตาลช๊อกโกแลตกรณีที่ไม่มีหนังสีแดง


กลยุทธ์Global Brandของเอมิเรตส์

สำหรับสายการบินเอมิเรตส์นั้นถือเป็นสายการบินที่ยักษ์ใหญ่ เน้นเจาะกลุ่มคนรวยแม้แต่สายการบินของเศรษฐีน้ำมันอย่างสายการบินเอนั้นถือว่าสถานะองค์กรนั้นยังแข็งแกร่ง เงินมีหนาพอที่จะสร้างความตื่นเต้นได้อย่างสบายๆ โดยสายการบินเอมิเรตส์รวมไปถึงสายการบินต่างออกมาแข่งเนรมิตที่นั่งในชั้น First Class และ Business Class อย่างเริดหรูเพื่อดึงดูดผู้โดยสารระดับบน หรือกลุ่มคนรวย นั่นเอง โดยเฉพาะสายการบินเอมิเรตส์ที่เพิ่งนำเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุดในโลกแอร์บัส A380 ขนาดเกือบ 500 ที่นั่ง มาบินในเส้นทางดูไบ-กรุงเทพฯ ในอัตราค่าโดยสาร ครึ่งราคาด้วยสำหรับกลยุทธ์ที่สายการบินเอมิเรตสร้างขึ้นนั้นมีหลากหลายเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและเพื่อเติบโตเป็นผู้นำในธุรกิจสายการบินนั้นเอมิเรตได้มีการเลือกปรับใช้กลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆมากมาย
1. “CRM-Children Relation Management”เป็นตัวอย่างสำคัญที่มองเห็นว่าพลังของคนกลุ่มนี้ไม่ธรรมดา ปัจจัยสำคัญที่เอมิเรตส์พยายามเอาใจกลุ่มเด็ก เพราะด้วยธรรมชาติของเด็กที่มีความอ่อนไหวต่อสิ่งเร้ารอบตัวได้ง่าย บางคนซุกซน บางคนงอแง อาจสร้างความไม่สะดวกในการเดินทางให้แก่ผู้ปกครอง ลูกค้าจึงอาจตัดปัญหาด้วยการไม่พาสมาชิกในครอบครัวซึ่งเป็นเด็กๆ เดินทางมาด้วย นั่นหมายถึงเม็ดเงินต่อหัวที่จะหดหายไปความพยายามของเอมิเรตส์นอกจากการสร้างความต่างในการเลือกโฟกัสกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กแล้ว สายการบินสัญชาติอาหรับนี้ยังสร้างความสดใหม่ด้วยการแจกแพ็กเกจความบันเทิง แก่เด็กๆ ชนิดที่สายบินอื่นๆ ยังไม่เคยทำมาก่อน ด้วยการผนึกกับพันธมิตรผู้คร่ำหวอดในวงการเด็ก อาทิ Simba Toys ในเยอรมนี รับหน้าที่ผลิต “Querk (เควิ์ค)” ตุ๊กตาสัตว์ลิขสิทธิ์เฉพาะของเอมิเรตส์ให้เป็นเวลา 2 ปี \ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของเอมิเรตส์เท่านั้น การคำนึงถึงความต้องการของเด็กอย่างละเอียด ทำให้เอมิเรตส์ผลิตสิ่งของเอาใจเด็กอีกมากมาย ด้วยสีสันสดใสและไซส์สำหรับเด็กโดยเฉพาะ ตั้งแต่เครื่องแต่งกายในการรับประทานซึ่งเป็นสีเดียวกับอุปกรณ์บนโต๊ะอาหาร ถุงอุปกรณ์หูฟัง ถุงใส่ของเล่น ดินสอสีไม้ชนิด Non-toxic ที่ปิดตาอันเล็กเวลานอน ตลอดจนแปรงสีฟันเด็กบรรจุในแคปซูลพร้อมด้วยยาสีฟันขนาดจิ๋ว เมนูสำหรับเด็กมีการเปลี่ยนแปลงทุกเดือน มีทั้งอาหารฝรั่ง อาหารเอเชีย อาหารมังสวิรัติ และอาหารพิเศษ เช่น อาหารโปรตีนต่ำ อาหารเพื่อสุขภาพ เป็นต้น การเจาะตลาดเด็กของสายการบินอาหรับแบรนด์นี้ ถือเป็นตัวอย่างหนึ่งที่เชื่อว่าคู่แข่งอื่นๆ ต้องหันมาทบทวน!

2. กลยุทธ์ "ตัด-ต่อ เพื่อโต" ของแอร์บัส ด้วยการควบรวมกิจการบริษัทผู้ผลิตเครื่องบินรายใหญ่ความร่วมมือครั้งสำคัญของธุรกิจการบินโลกได้เกิดขึ้นเมื่อแอร์บัสจับมือเป็นพันธมิตรสำคัญกับ "เอมิเรตส์ แอร์ไลน์" สายการบินแห่งชาติยูเออีซึ่งมีการเติบโตรวดเร็วที่สุดในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ด้วยการตั้งศูนย์ประสานงานแอร์บัสที่ดูไบ สนามบินหลักแห่งหนึ่งของโลก
ภูมิภาคตะวันออกกลางนั้นถือเป็น "อู่ข้าวอู่น้ำ" แห่งใหม่ของแอร์บัส ก็ไม่ผิด เพราะสายการบินต่างๆ ของประเทศในภูมิภาคนี้ได้สั่งซื้อเครื่อง เอ 380 มากที่สุดในโลก ขณะที่ดูไบซึ่งแอร์บัสไปเลือกตั้งศูนย์ประสานงาน ถือเป็น "ฮับการบิน" สำคัญ เพราะจากดูไบสามารถบินไปนิวยอร์ค ซิดนีย์ อเมริกาใต้ หรือเมืองสำคัญของโลกโดยใช้เวลาไม่นาน ทั้งดูไบยังเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางท่องเที่ยวไปยังต่างประเทศของชาวตะวันออกกลางรัฐบาลยูเออียังมีนโยบายให้ดูไบเป็นศูนย์การค้าการลงทุนในภูมิภาค และใช้สายการบินแห่งชาติเอมิเรสต์ แอร์ไลน์เป็น "หัวหอก" ในการสร้าง Brand Awareness ให้ดูไบเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก

3. ความสำเร็จที่เกิดขึ้นของสายการบินเอมิเรตส์ นอกจากจะเป็นความโดดเด่นในเรื่องการบริการที่สุดยอดในทุกด้านแล้ว ยังมาจากการวางยุทธศาสตร์ในการรุกตลาดอย่างชาญฉลาดของผู้บริหารสายการบิน ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริหารเดียวกันที่ปกครองประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้มีการพัฒนาดูไบที่เป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งของประเทศให้เป็นศูนย์กลางแห่งการท่องเที่ยว พักผ่อน และศูนย์กลางแห่งการ ช้อปปิ้งของโลก ซึ่งนับวันจะทวีความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ จากเมืองกลางทะเลทรายถูกเปลี่ยนเป็น เมืองทันสมัยด้วยโรงแรม 7 ดาว มีกิจกรรมกีฬาต่างๆ รวมทั้งดึงรายการกีฬาระดับโลกให้ไปจัดการแข่งขันที่นั่นได้สำเร็จ เช่น กอล์ฟ การแข่งม้าถ้วยดาร์บี้ทำให้ ดูไบ เป็นเมืองท่องเที่ยวเพื่อความบันเทิงอันดับหนึ่งของตะวันออกกลาง และอยู่ในกลุ่มแถวหน้าของโลก กิจกรรมในการท่องเที่ยว ดูไบในรูปแบบต่างๆ ได้ถูกผนวกเป็นแคมเปญของสายการบินเอมิเรตส์อย่างผสมกลมกลืน ด้วยกำลังเงินสนับสนุนที่มหาศาล และดูเหมือนจะมีขีดจำกัด เมื่อเทียบกับคู่แข่ง เอมิเรตส์สามารถสร้างสุดยอดแห่งการบริการที่ผสานด้วยเทคโนโลยีทันสมัย และเครื่องบินโดยสารรุ่นล่าสุดของโลก ทำให้เอมิเรตส์สามารถสร้าง Brand สายการบินของตนให้สามารถแข่งกับสายการบินระดับโลกทุกสายได้อย่างไม่ด้อยกว่า ทิ้งความเป็นสายการบินอาหรับสู่ความเป็นสายการบินระดับโลกได้อย่างสมบูรณ์แบบ เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดของสายการบินชั้นนำของโลกในปัจจุบันและอนาคต

4. จุดเด่น Emirates สร้างความแปลกใหม่ให้กับสายการบินตนเอง ด้วยเครื่องบินรุ่น A380 อย่างจงใจให้ดังแบบพลุแตกแล้วก็เป็นไปตามคาดด้วยการติดตั้งฟีเจอร์สำคัญในชั้นเฟิร์สคลาสสูท ให้มีสปาบนเครื่องบิน และมีห้องอาบน้ำแบบเต็มสูบสมบูรณ์แบบเป็นสายการบินแรก สร้างความฮือฮาให้กับสื่อมวลชนต่างชาติเป็นอย่างยิ่งและด้วยค่าโดยสารที่ไม่ได้แพงไปกว่าเฟิร์สคลาสของสายการบินอื่นๆ จึงเป็นทางเลือกของบรรดาเศรษฐีที่จะเลือกใช้บริการ Emirates มากกว่าที่อื่นๆ
มิหนำซ้ำเมื่อเร็วๆนี้ยังมีออร์เดอร์สั่งซื้อ A380 เพิ่มขึ้นอีกกว่าหลายสิบลำ เป็นที่สนใจของบรรดาสื่อมวลชนว่า Emirates เร่งสร้างความสำคัญและการแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดจากสายการบินอื่นๆเข้ามาในสายการบินของตน

5. EMIRATES เป็นสายการบินที่เป็นสปอนเซอร์รายการกีฬาต่างๆมากมายที่โด่งดังก็เห็นจะเป็นการที่เอมิเรตส์ได้เปิดตัวแพ็คเกจเดินทางสุดพิเศษเพื่อร่วมชมศึกฟุตบอลโลก 2010 เพื่อให้แฟนฟุตบอลจากทั่วโลกได้สัมผัสสุดยอดประสบการณ์กีฬาแห่งความทรงจำของชีวิต ในฐานะตัวแทนจัดการด้านการเดินทางอย่างเป็นทางการให้บริการด้านการท่องเที่ยวระดับแนวหน้าให้กับแฟนฟุตบอลทั่วโลกการได้สนับสนุนทีมในดวงใจของคุณในศึกฟุตบอลโลกเพียงเท่านั้นยังไม่พออนึ่ง สายการบินชื่อดังของสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ ซึ่งเป็นสปอนเซอร์สนามเหย้าของ อาร์เซนอล(The Emirate Stadium in London) สโมสรชั้นนำของลีกอังกฤษ อยู่ในเวลานี้ จะเข้ามาเป็นสปอนเซอร์คาดอกเสื้อของทีม มิลาน แทน บีวิน บริษัทแทงพนันออนไลน์ของออสเตรีย ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปี 2010 ถึง เดือนมิถุนายนปี 2014เอมิเรตส์ สายการบินชื่อดังของชาวอาหรับ จะมาเป็นผู้สนับสนุนสโมสรเอซีมิลานตั้งแต่ฤดูกาล 2010/2011 เป็นต้นไป

วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ประเทศบาห์เรน







ข้อมูลทั่วไป

บาห์เรน (Bahrain) หรือชื่อทางการ ราชอาณาจักรบาห์เรน (Kingdom of Bahrain)เป็นประเทศเกาะที่ไม่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศอื่นในอ่าวเปอร์เซียเกาะบาห์เรนเชื่อมต่อกับซาอุดีอาระเบียซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกด้วยสะพานคิงฟาฮัด (เปิดใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2529) ส่วนสะพานมิตรภาพกาตาร์-บาห์เรน ที่กำลังอยู่ในระหว่างวางแผนงานนั้นจะเชื่อมต่อบาห์เรนเข้ากับกาตาร์ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ และจะเป็นสะพานขึงที่ยาวที่สุดในโลกอีกทั้งบาห์เรนเป็นประเทศแรกในอ่าวอาหรับที่ขุดพบน้ำมันดิบ ในปี 2475 และมีการสร้างโรงกลั่นน้ำมันขึ้น อย่างไรก็ดี ปริมาณน้ำมันดิบที่ขุดพบในบาห์เรนนับว่ามีจำนวนไม่มากนักเมื่อเทียบกับคูเวตและซาอุดีอาระเบีย


พื้นที่ทั้งหมด 741 ตารางกิโลเมตร

สภาพภูมิอากาศ อุณหภูมิสูง ร้อนชื้น

การปกครอง ราชาธิปไตยกึ่งรัฐสภา มีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ

ประมุขของประเทศ สมเด็จพระราชาธิบดีฮามัด บิน อิซา อัล คอลีฟะห์ (H.M. King Hamad bin Isa Al Khalifa)

นายกรัฐมนตรี เชคคอลีฟะห์ อิบน์ ซุลมัน อัลคอลีฟะห์

เมืองหลวง กรุงมานามา (Manama) เป็นเมืองท่าที่ใกล้ที่สุดสำหรับชาวประมงที่มีอาชีพดำน้ำหาไข่มุก และเป็นจุดพักระหว่างทาง ของเหล่าลูกเรือบรรทุกสินค้าที่ขนสินค้าจากประเทศอินเดียไปยังทวีปแถบแอฟริกา ต่อมาเมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๔๗๕ มีการขุดพบบ่อน้ำมันในเมืองมานามาแห่งนี้ส่งผลให้เศรษฐกิจเจริญรุ่งเรืองจนเป็นที่สนใจของนักลงทุนและนักธุรกิจอย่างมากมาย

ประชากร 738,004 คน

โครงสร้างอายุ 0-14 ปี : 25.4%
15-64 ปี : 70.4%
65 ปีขึ้นไป : 4.2%

อายุเฉลี่ยของประชากรส่วนใหญ่ 30.4 ปี (ชาย:33.5 ปี และ หญิง:27.1 ปี)

เชื้อชาติ ชาวบาห์เรน 62.4%, อื่นๆ 37.6%

ภาษา อารบิค อังกฤษ ฟาร์ซี อิรดู (ภาษาอังกฤษก็ใช้กันอย่างกว้างขวาง)

ศาสนา อิสลาม (ชีอะห์และสุหนี่) 85% คริสต์เตียน 9 % และอื่นๆ 9.8%

การศึกษา ประชากรอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไปสามารถอ่านออกเขียนได้คิดเป็นร้อยละ 86.5 ของประชากรทั้งหมด



ด้านการเมืองการปกครอง


1. บาห์เรนเคยอยู่ภายใต้การปกครองของสหราชอาณาจักรและได้รับเอกราชเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2514 หลังจากนั้น สมเด็จพระราชาธิบดีอิซา บิน ซัลมาน อัลคอลิฟะห์ ทรงดำรงตำแหน่งเจ้าผู้ครองรัฐ (Emir) จนถึงปี 2542 และสมเด็จพระราชาธิบดีฮามัด บิน อิซา อัลคอลิฟะห์ เสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2542 สืบต่อจากพระราชบิดาซึ่งเสด็จสวรรคต ต่อมา สมเด็จพระราชาธิบดีฮามัด บิน อิซา อัลคอลิฟะห์ ได้ทรงเปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ และทรงเปลี่ยนชื่อประเทศจากรัฐบาห์เรน (State of Bahrain) เป็นราชอาณาจักรบาห์เรน (Kingdom of Bahrain) ในปี 2545
2. ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน คือ เชคคอลิฟะห์ บิน ซัลมาน อัล คอลิฟะห์ (Shaikh Khalifa bin Salman Al Khalifa) ซึ่งเป็นพระปิตุลาของสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบาห์เรน รัฐสภาบาห์เรนประกอบด้วย สภาที่ปรึกษา (Shura Council) เทียบเท่าวุฒิสภา จำนวน 40 คน แต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ และสภาผู้แทนราษฎร (Nuwwab Council) จำนวน 40 คน มาจากการเลือกตั้ง มีวาระ 4 ปี ทำหน้าที่ด้านนิติบัญญัติ อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติ การตัดสินใจทางการเมืองการปกครองขึ้นอยู่กับพระมหากษัตริย์และนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ สมาชิกพระราชวงศ์อัลคอลิฟะห์ ดำรงตำแหน่งสำคัญในคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะกระทรวงด้านความมั่นคง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ เป็นต้น
3. รัฐบาลบาห์เรนได้ส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมือง และพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ภายในประเทศ โดยเมื่อเดือนตุลาคม 2545 บาห์เรนได้จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี
4. การเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 2 ของบาห์เรน มีขึ้นเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2549 และมีการเลือกตั้งซ่อมในบางเขตเลือกตั้ง เมื่อต้นเดือนธันวาคม 2549 โดยสมาคมการเมือง Al Wefaq Society ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านเคร่งศาสนาอิสลามนิกายชีอะต์ที่ได้คว่ำบาตรการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรก ได้รับเลือกตั้งถึง 17 ที่นั่ง จาก 40 ที่นั่ง
5. ด้านการทหาร กองทัพบาห์เรนมีกำลังพล 11,200 คน เป็นทหารบก 8,500 คน ทหารเรือ 1,200 คน ทหารอากาศ 1,500 คน ทั้งนี้ การที่บาห์เรนเป็นประเทศเล็กและมีกำลังพลจำกัด จึงพึ่งพาประเทศสมาชิก อื่นๆ ในคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (Gulf Cooperation Council – GCC) โดยเฉพาะอย่างยิ่งซาอุดีอาระเบีย ในการป้องกันประเทศ

นโยบายต่างประเทศ

บาห์เรนเป็นประเทศอาหรับที่ดำเนินนโยบายสายกลาง มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประเทศสมาชิกอื่นๆ ใน GCC โดยเฉพาะอย่างยิ่งซาอุดีอาระเบีย ซึ่งให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจเป็นจำนวนมาก เช่นเดียวกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และคูเวต นอกจากกลุ่มประเทศ GCC แล้ว บาห์เรนยังมุ่งกระชับความสัมพันธ์กับประเทศสมาชิกในกลุ่มสันนิบาตอาหรับ (League of Arab States หรือ Arab League) เพื่อสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาค
ในด้านความสัมพันธ์กับอิหร่านมีแนวโน้มที่ดีขึ้น นับตั้งแต่นาย Mohammed Khatami ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอิหร่านเมื่อปี 2540 ทั้งนี้ สมเด็จพระราชาธิบดีฮามัดได้เสด็จฯ เยือนอิหร่านเมื่อปี 2545 ซึ่งนับเป็นการเยือนอิหร่านครั้งแรกของพระประมุขบาห์เรนตั้งแต่การปฏิวัติอิสลามในอิหร่าน (Islamic Revolution) เมื่อปี 2522 อย่างไรก็ดี นับตั้งแต่นาย Mahmoud Ahmadinejad สมาชิกกลุ่มการเมืองหัวรุนแรงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอิหร่านในเดือนมิถุนายน 2548 บาห์เรนได้ดำเนินความสัมพันธ์กับอิหร่านในลักษณะระมัดระวังมากขึ้น
สำหรับความสัมพันธ์กับประเทศตะวันตก บาห์เรนมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร บาห์เรนเป็นที่ตั้งฐานทัพเรือที่ 5 ของสหรัฐอเมริกา (The Fifth Fleet) บาห์เรนสนับสนุนสหรัฐอเมริกาในการส่งกองกำลังทหารเข้าไปในอัฟกานิสถานและได้รับสถานะ Major Non-NATO Ally (MNNA) ในปี 2545 นอกจากนี้ บาห์เรนยังเป็นประเทศแรกในตะวันออกกลางที่เจรจาจัดทำ FTA กับสหรัฐอเมริกาเป็นผลสำเร็จเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2549 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศบาห์เรนได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ แสดงความมุ่งมั่นของรัฐบาลบาห์เรนที่จะส่งเสริมความร่วมมือในการต่อต้านการฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่กลุ่มก่อการร้าย เรียกร้องให้อิสราเอลถอนกองกำลังจากเลบานอนและประเทศอาหรับทุกประเทศ สนับสนุนการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์เป็นประเทศเอกราช สนับสนุนความร่วมมือในการทำให้ภูมิภาคตะวันออกกลางเป็นเขตปลอดจากอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง และเรียกร้องให้มีการปฏิรูปคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติให้สะท้อนถึงภูมิศาสตร์ทางการเมืองในปัจจุบัน


เศรษฐกิจการค้า

เศรษฐกิจ - ก่อนการค้นพบน้ำมัน เศรษฐกิจของบาห์เรนขึ้นอยู่กับไข่มุก การค้าและการประมง แต่หลังจากปี ค.ศ. 1932 ซึ่ง เป็นปีที่มีการค้นพบน้ำมันภายในประเทศ น้ำมันก็กลายเป็นที่มาของรายได้สำคัญซึ่งได้ถูกนำไปใช้จ่ายในการพัฒนาประเทศ อย่างไรก็ตาม จากการที่น้ำมันและก๊าซธรรมชาติสำรองของบาห์เรนมีจำนวนน้อย และคาดกันว่าจะหมดลงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า จึงได้มีการสำรวจหาแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติแหล่งอื่นเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังเปลี่ยนแนวเศรษฐกิจของประเทศไปเป็นธุรกิจการกลั่นน้ำมันและการทำ ให้บาห์เรนเป็นจุดศูนย์กลางทางด้านการค้าและธุรกิจของภูมิภาคอีกด้วย และตั้งแต่ทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา บาห์เรนได้ดำเนินนโยบายที่จะกระจายแหล่งรายได้ของประเทศออกไปจากน้ำมันโดยมี การพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรมมากขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอะลูมิเนียม - บาห์เรน ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางของธุรกิจบริการ กล่าวคือ ด้านการเงินและการธนาคารของภูมิภาคอ่าวอาหรับ นโยบายของรัฐบาลบาห์เรนจึงมุ่งไปที่การรักษาสถานะของประเทศให้เป็นศูนย์กลาง การค้าเสรี และภาคบริการของภูมิภาค แข่งกับสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ ด้วยการส่งเสริมการลงทุนของต่างชาติ รักษาเสถียรภาพการเมืองภายในประเทศให้มั่นคง และรัฐบาลบาห์เรนได้เปิดระบบการธนาคารอิสลามระหว่างประเทศขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อให้บริการทางการเงินในต่างประเทศด้วยตั้งแต่เดือนตุลาคม 2544

อัตราความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ร้อยละ 6.1

ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ 19.59 พันล้าน USD

รายได้ประชาชาติต่อหัว 38,400 USD

อัตราการเติบโต GDP 2.9%

GDP แยกตามภาคการผลิต ภาคการเกษตร 0.5% ภาคอุตสาหกรรม 56.6% ภาคการบริการ 42.9%

ปริมาณน้ำมันสำรอง 125 ล้านบาร์เรล

ปริมาณก๊าซสำรอง 92.03 พันล้าน ลบม.

ปริมาณการผลิตน้ำมัน 217,000 บาร์เรล/วัน

ทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ทรัพยากรทะเล ไข่มุก

สกุลเงิน บาห์เรนดีนาร์ (BHD) (1 BHD: 90-100 บาท)

อุตสาหกรรม การผลิตและกลั่นน้ำมัน อะลูมิเนียม ปุ๋ย

สินค้านำเข้าสำคัญ น้ำมันดิบ เครื่องจักร เคมีภัณฑ์

สินค้าส่งออกสำคัญ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม น้ำมันกลั่น อะลูมิเนียม สิ่งทอ

ตลาดนำเข้าสำคัญ ซาอุดีอาระเบีย ญี่ปุ่น เยอรมนี สหรัฐอเมริกา

ตลาดส่งออกสำคัญสหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น


สังคมและวัฒนธรรม

ผู้คนในประเทศบาห์เรนนี้คือชาวอารบิก ที่ยังคงดำรงสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรม ซึ่งสะท้อนออกมาเป็นพิพิธภัณฑ์ทางโบราณคดี มัสยิดที่จะเห็นได้ง่ายๆ ตามสถานที่ต่างๆ ของเมือง บาห์เรนเป็นราชอาณาจักรเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนคาบสมุทรอารเบียนถึงแม้ว่าจะเป็นประเทศเล็กๆแต่ก็ประสบผลสำเร็จ ทางธุรกิจ และการพัฒนาทางสังคม ในระดับสูงเห็นได้จากถนนหนทางที่มีหลายเลนสะพานข้ามเกาะไปยังประเทศซาอุดิอารเบียหรือสิ่งก่อสร้างต่างๆที่ทันสมัยในยุคแห่งสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจไข่มุกแห่งคาบสมุทรอารเบียนยังคงส่องแสงประกายเจิดจรัสต่อไปเกิดการเปลี่ยนแปลงชีวิตในทางที่ดีขึ้น มีแนวทางในการดำรงชีวิตที่ถูกต้องตามหลักคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามุ่งทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำใจให้ผ่องใส

การแต่งกาย

ทำไมอิสลามจึงลดฐานะผู้หญิงลงด้วยการเก็บพวกเธอไว้เบื้องหลังผ้าคลุมหน้า ?
ตอบ: ฐานะของผู้หญิงในอิสลามมักจะตกเป็นเป้าโจมตีโดยสื่อสารมวลชนในแนวเซ็คคิวลาร์(แนวคิดแยกศาสนาออกจากการเมือง)อยู่เสมอ “ฮิญาบ” หรือเครื่องแต่งกายตามแบบอิสลามได้ถูกกล่าวถึงว่าคือตัวอย่างหนึ่งที่เป็น “การปราบ” ผู้หญิงให้สยบอยู่เยี่ยงทาสภายใต้กฎหมายอิสลาม

ฮิญาบสำหรับผู้หญิง

อายะฮฺ ถัดไปในซูเราะฮฺอันนูร กล่าวว่า “และจงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แก่บรรดามุอฺมินะฮฺให้พวกเธอลดสายตาของพวกเธอลงต่ำ และให้พวกเธอรักษาทวารของพวกเธออย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอเว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศีรษะของเธอลงมาถึงหน้าอกของเธอและอย่าให้เธอเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอเว้นแต่แก่สามีของพวกเธอหรือบิดาของพวกเธอหรือบิดาของสามีของพวกเธอหรือลูกชายของพวกเธอ...”

มาตรฐาน 6 ประการสำหรับฮิญาบ

ตามกุรอานและซุนนะฮฺ มีเกณฑ์มาตรฐานเบื้องต้น 6 ประการสำหรับการปฏิบัติตามเงื่อนไขของฮิญาบ

1 เอาเราะฮฺ หรือขอบเขตของร่างกายที่ต้องปกปิด
เกณฑ์แรกคือขอบเขตของร่างกายที่ต้องปกปิด (เอาเราะฮฺ) ซึ่งต่างกันระหว่างชายกับ หญิง เอาเราะฮฺของผู้ชายอย่างน้อยต้องอยู่ระหว่างสะดือกับเข่า สำหรับผู้หญิงเอาเราะฮฺคือทุกส่วนของร่างกายยกเว้นใบหน้าและฝ่ามือ หรือหากเป็นความประสงค์ของพวกเธอก็สามารถปกปิดส่วนของร่างกายส่วนนี้ (ใบหน้าและมือ) ด้วยก็ได้ นักวิชาการอิสลามบางท่านยืนยันหนักแน่นว่าใบหน้าและมือก็เป็นส่วนของร่างกายที่ต้องปกปิดด้วยเช่นกัน

อีก 5 เกณฑ์ที่เหลือนั้นเหมือนกันทั้งสำหรับผู้ชายและผู้หญิง

2 ชุดที่สวมใส่ต้องหลวมและต้องไม่เปิดเผยให้เห็นรูปร่าง
3 ชุดที่สวมใส่ต้องไม่บางจนมองทะลุผ่านได้
4 ชุดที่สวมใส่ต้องไม่งามหรือมีเสน่ห์จนเป็นที่ดึงดูดใจของเพศตรงข้าม
5 ชุดที่สวมใส่ต้องไม่คล้ายคลึงกับของเพศตรงข้าม
6 ชุดที่สวมใส่ต้องไม่คล้ายคลึงกับของบรรดาผู้ปฏิเสธ พวกเขาจะต้องไม่สวมใส่ชุดที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะหรือสัญลักษณ์ในศาสนาของบรรดาผู้ปฏิเสธ
โดยหลักธรรมชาติ ทันทีที่บทบัญญัติของอิสลามถูกนำมาปฏิบัติผลลัพธ์ในทางที่ดีย่อมบังเกิดอย่างแน่นอน หากบทบัญญัติของอิสลามได้รับการยอมรับและนำไปปฏิบัติในทุกส่วนของโลกไม่ว่าในอเมริกาหรือยุโรป สังคมก็จะหายใจอย่างโล่งอก ฮิญาบไม่ได้ลดฐานะของผู้หญิงหรือทำให้ผู้หญิงอยู่ในสภาพที่น่าอับอายแต่ฮิญาบช่วยเชิดชูผู้หญิงช่วยปกป้องความสงบเสงี่ยมสง่างามและพรหมจรรย์ของเธอ

อาหารของชาวอาหรับ

อาหารฮาลาล คืออะไร?
ความหมายของอาหารฮาลาล
อาหารฮาลาล หมายถึง อาหารหรือผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับอาหารซึ่งผลิตขึ้นถูกต้องตามบทบัญญัติของศาสนาอิสลาม มุสลิมสามารถบริโภคได้ โดยคำนึงถึงความสะอาด มีคุณค่าตามหลักโภชนาการ

ข้อกำหนดในการผลิตอาหารฮาลาล
1. วัตถุดิบ กระบวนการผลิต การบรรจุ การรักษาจะต้องฮาลาลทุกขั้นตอน
2. สถานที่ผลิตอาหารฮาลาลจะต้องไม่ปะปนกับการผลิตอาหารที่หะรอม(ห้ามมุสลิมบริโภค) ในทุกขั้นตอนตั้งแต่การเตรียม การผลิต กระบวนการผลิต และการเก็บรักษา
3. เครื่องจักร เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการเตรียมการผลิต กระบวนการผลิต การขนส่งและการเก็บรักษาจะต้องสะอาดตามหลักการของศาสนาอิสลาม
4. เนื้อสัตว์ พืช เครื่องดื่มที่ไม่อนุญาตให้นำมาประกอบเป็นอาหารฮาลาล สุกร สุนับ หมูป่า งู ลิง สัตว์กินเนื้อเป็นอาหารและมีเล็บ เช่น สิงโต เสือ หมี เป็นต้น
5. วิธีการเชือดหรือฆ่าสัตว์
5.1 คนเชือดต้องเป็นมุสลิมและมีความรู้เกี่ยวกับการเชือดสัตว์ตามหลักศาสนา
5.2 เป็2นสัตว์ที่อิสลามกำหนดให้เชือดได้
5.3 เป็นสัตว์ที่ยังมีชีวิตอยู่ขณะที่เชือด
5.4 ขณะเชือดต้องให้หัวของสัตว์หันไปทางกิบลัต (สำหรับประเทศไทยคือทิศตะวันตก)
5.5 ผู้เชือดต้องกล่าวว่า “บิสมิ้ลลาห์”(ด้วยพระนามของอัลลอฮ) ก่อนลงมือเชือด
5.6 มีดที่ใช้เชือดต้องคมและต้องเชือดจนเสร็จสิ้นโดยไม่ดึงมือออก

McDonald กับอาหารฮาลาล
McDonald กับเจ้าของแฟรนไชส์ในท้องถิ่นเข้าใจดีว่าต้องปรับแต่งสารที่สื่อออกไป โฆษณาที่เผยแพร่ในตลาดอาหรับจะถูกทำขึ้นใหม่โดยเฉพาะ เน้นสื่อด้วยภาพมากกว่าถ้อยคำ โดยนำเสนอภาพของครอบครัวหนุ่มสาวที่พาลูกๆ มากินอาหาร ทุกคนล้วนแต่งกายแบบอาหรับตามประเพณี ภาพเหล่านี้สะท้อนค่านิยมในสังคมอาหรับที่ให้คุณค่าแก่สถาบันครอบครัวและรักษาประเพณีอย่างเคร่งครัด ส่วนตัวหนังสือในโฆษณาก็จะเน้นย้ำว่าเนื้อสัตว์ที่ใช้ทำอาหารในร้านถูกหลักฮาลาล และเป็นเนื้อคุณภาพดี 100% ไม่มีสารปรุงแต่งและสารกันบูดด้วย โฆษณานี้แสดงให้เห็นว่า McDonald เข้าใจดีว่าในอาหรับเน้นอาหารที่ดีต่อสุขภาพและต้องมีเครื่องหมายฮาลาลด้วย

ตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จในตลาด GCC คือ McDonald แม้จะเป็นอาหารสัญชาติอเมริกัน แต่ McDonald ประสบความสำเร็จในตลาดทั่วโลก เพราะมักจะปรับสูตรอาหารให้ถูกปากคนในท้องถิ่นเสมอ สำหรับผู้บริโภคในกลุ่มประเทศ GCC เมนูที่ McDonald คิดขึ้นมาคือแม็คอาระเบีย McArabia ซึ่งเป็นแซนด์วิชทำจากไก่ย่าง ห่อด้วยขนมปังแบบอาหรับ แต่งด้วยผักกาดหอม หัวหอม และมะเขือเทศ ราดด้วยซอสโยเกิร์ตตาฮินี กล่าวกันว่าแม็คอาระเบียเป็นการผสมผสานระหว่าง บิ๊กแม็คกับแซนด์วิชชาวาร์มา ที่คนท้องถิ่นกินกันเป็นประจำ


การตลาดในชาติอาหรับ
กลยุทธ์ทางการตลาดที่จะใช้ในภูมิภาคนี้ไม่ได้มีเพียงคำตอบเดียว แต่หลักสำคัญคือคุณต้องเข้าใจกลุ่มเป้าหมายและความต้องการของคนเหล่านี้ ต้องเข้าใจว่าทำอย่างไรจึงจะนำเสนอความต้องการนั้นในวิถีทางที่สอดคล้องกับท้องถิ่น ธุรกิจข้ามชาติชั้นนำของโลกมักจะใช้บริการของบริษัทข้ามชาติอีกแห่งที่มีสำนักงานในท้องถิ่นอยู่แล้ว อาจเป็นบริษัทการตลาดหรือบริษัทโฆษณา บริษัทเหล่านี้จะศึกษาข้อมูลแวดล้อม และขัดเกลาสารของคุณ บริษัทการตลาดในภูมิภาคอาจรับผิดชอบการจัดจำหน่ายในท้องถิ่น แต่คุณจะต้องเข้าใจตลาดด้วยตัวเอง กลยุทธ์ที่เข้มแข็งขึ้นอยู่กับความเข้าใจผู้บริโภคอย่างถ่องแท้ และการเสนอขายที่ทำให้ผู้บริโภคเห็นประโยชน์และความแตกต่างจากคู่แข่ง ดังนั้นทางเลือกดีที่สุดของคุณคือ ใช้กลยุทธ์ทางการตลาดสำหรับภูมิภาคนั้นโดยเฉพาะ

การสื่อสารในชาติอาหรับ
ขณะที่การตลาดเฉพาะถิ่นมีความสำคัญ การสื่อสารทางการตลาดในชาติอาหรับกลับมีความซับซ้อนยิ่งกว่า ในหลายกรณี การประยุกต์ตามความต้องการของลูกค้าเป็นสิ่งจำเป็น แต่ก็มีหลายกรณีที่ไม่จำเป็นต้องปรับเลย อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปในเรื่องการสื่อสารถึงผู้บริโภคแถบนี้ จากการสำรวจพบว่ามีรูปแบบการประยุกต์ให้เข้ากับบริบทท้องถิ่นอยู่ 4 ระดับด้วยกัน
การประยุกต์ระดับแรกคือ ไม่ปรับแต่งเลย เป็นวิธีง่ายที่สุด ส่วนใหญ่เป็นสินค้าและบริการที่มีแบรนด์รู้จักกันทั่วโลก และมักจะใช้รูปแบบการสื่อสารอย่างเดียวกันในทุกตลาด ส่วนการปรับสารระดับที่ 2 คือการปรับแต่งข้อความ เป็นวิธีการที่มีการใช้กันมากที่สุด วิธีนี้เป็นการเลือกใช้ภาษาอาหรับ ปรับแต่งดนตรี และคำโฆษณาให้เข้ากับท้องถิ่น แต่ผลิตภัณฑ์ยังคงเดิม การปรับแต่งระดับที่ 3 คือ การปรับรายการสินค้าและบริการ คือการขายผลิตภัณฑ์ในประเทศอาหรับเช่นเดียวกับที่ขายในตลาดอื่นๆ แต่เปลี่ยนรายการสินค้าเพื่อเน้นรายการที่ดึงดูดผู้ซื้อในกลุ่มประเทศอาหรับ ส่วนการประยุกต์ระดับสุดท้าย คือการสร้างผลิตภัณฑ์และบริการสำหรับตลาดอาหรับโดยเฉพาะ การที่จะเลือกใช้ระดับใดนั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยด้วยกัน เพราะประยุกต์แต่ละระดับมีข้อดีข้อด้อยต่างกัน

ขายโดยไม่ใช้ภาษาอาหรับ
สำหรับตลาดในกลุ่มประเทศอาหรับในอ่าวเปอร์เซีย มีสินค้ากลุ่มหนึ่งที่สามารถขายได้โดยไม่ต้องใช้โฆษณาภาษาอาหรับ ได้แก่ สินค้าฟุ่มเฟือยสำหรับตลาดบน เช่น น้ำหอม กระเป๋าถือ เครื่องเพชร คุณจะพบโฆษณาสินค้าเหล่านี้ในนิตยสารสำหรับผู้หญิงโดยใช้ภาษาฝรั่งเศสหรืออังกฤษเหตุผลหนึ่งที่คงความเป็นต่างชาติไว้นั้น เป็นเพราะแบรนด์นั้นมีความเป็นสากลและมีระดับ สิ่งที่สินค้าต้องการนำเสนอคือความงามและความเป็นเลิศอย่างยุโรป การใช้ภาษาอาหรับอาจทำให้ความมีระดับดูด้อยลง และลดภาพของความเป็นยุโรปไป ตัวอย่างอื่นได้แก่ บริการด้านการเงิน ซึ่งต้องอยู่ในบริบทของการให้บริการธนาคารส่วนบุคคลและการจัดการทรัพย์สิน องค์กรที่ให้บริการเหล่านี้ต้องการเน้นย้ำความเป็นสากล ระบบที่ใช้ทั่วโลก และมาตรฐานสากล ดังนั้นจึงเลือกที่จะใช้ภาษาอังกฤษในโฆษณาเพื่อเน้นย้ำการวางตำแหน่งแบรนด์

สำหรับการสื่อสารผ่านโฆษณาบนสื่อสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ และวิทยุ วิธีง่ายที่สุดคือ นำโฆษณาที่ทำขึ้นสำหรับใช้ร่วมกันทั่วโลกมาแปลเป็นภาษาอาหรับ โดยทั่วไปถือว่าวิธีนี้มีประสิทธิภาพที่สุดในการรักษาความสม่ำเสมอในการสื่อสารแบรนด์ ธุรกิจที่ลงทุนมากกับการรักษาภาพลักษณ์ให้เหมือนกันทั่วโลกอย่าง ธนาคาร HSBC และ McDonald จะใช้คำสโลแกนเหมือนกับที่ใช้ทั่วโลก เพียงแต่แปลเป็นภาษาอาหรับ ส่วน Coca Cola และ Pepsi จะใช้ดารา นักร้องที่เป็นคนในท้องถิ่น เพื่อทำโฆษณาที่นำเสนอภาพลักษณ์ของแบรนด์ ในภาษาและดนตรีอาหรับ อย่างไรก็ตาม นอกจากการแปลภาษา การใช้ดารานักร้อง และดนตรีท้องถิ่นอาจยังไม่พอ

ของต้องห้ามในโฆษณา
ศาสนา วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของคนในชาติอาหรับเป็นประเด็นที่นักโฆษณาต้องใส่ใจเป็นพิเศษ จากการสำรวจและวิเคราะห์โฆษณาที่เผยแพร่ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตพบว่า โฆษณากว่าครึ่งหนึ่งทำขึ้นเพื่อสื่อสารกับผู้หญิง และส่วนใหญ่เป็นการขายสินค้าหรูอย่างเพชรพลอยและเครื่องสำอาง สิ่งที่จะต้องไม่มีเด็ดขาดในโฆษณาคือ การเปิดเผยเนื้อตัวมากเกินไปของนางแบบ ไม่ว่าจะโฆษณาสินค้าใดก็ตาม นางแบบต้องสวมชุดยาว เรียบร้อย ถ้าเป็นโฆษณาในประเทศซาอุดิอาระเบีย ยิ่งต้องระวังเรื่องการแต่งกายมากกว่าประเทศอื่นๆ ของ GCC การใช้นางแบบสวมชุดยาวนอกจากเพื่อให้ผ่านการตรวจสอบของทางการแล้ว ยังสามารถเชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมายในท้องถิ่นได้มากกกว่า เพราะพวกเธอเหล่านั้นก็สวมชุดยาวด้วยเหมือนกัน สำหรับแบรนด์ Coty ซึ่งขายเครื่องสำอาง น้ำหอม โดยมีเจนนิเฟอร์ โลเปซ เป็นนางแบบนั้น มีวิธีเลี่ยงโดยการโฟกัสแต่ที่หน้าของนักร้องสาวเท่านั้น ขณะที่โฆษณาในประเทศอื่นจะเปิดเผยเนื้อตัวและดูเซ็กซีกว่านี้

พลังซื้อของผู้หญิง
ดังที่กล่าวไปแล้วว่า โฆษณากว่าครึ่งหนึ่งที่เผยแพร่อยู่ในสื่อต่างๆ ในกลุ่มประเทศอาหรับมีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้หญิง ข้อเท็จจริงนี้ยืนยันว่า ในวัฒนธรรมนี้ผู้หญิงก็ยังเป็นผู้ซื้อที่มีอิทธิพลสูง พวกเธอไม่เพียงแต่มีอำนาจตัดสินใจซื้อข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน เช่น อาหาร ของใช้ของลูก และเครื่องเรือน แต่ยังมีอำนาจซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยอย่างน้ำหอมและอัญมณีต่างๆ ด้วย เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะแม้จะทำงานแล้ว แต่ผู้หญิงอาหรับจะไม่แยกจากบ้านพ่อแม่จนกว่าจะแต่งงาน พวกเธอจึงไม่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ผู้หญิงในส่วนอื่นของโลกต้องรับผิดชอบ แม้เมื่อแต่งงานไปแล้ว ก็มีแนวโน้มว่าผู้หญิงจะไม่ต้องนำรายได้มาหารค่าใช้จ่ายในบ้านกับสามี เมื่อมีเงินเก็บสะสมไว้มาก ผู้หญิงอาหรับจึงจับจ่ายใช้สอยได้อย่างเต็มที่


ไม่ต้องการข้อมูลเชิงลึก
ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งของโฆษณาในชาติ GCC คือ การให้ข้อมูลเชิงลึก และการเสนอข้อมูลเชิงเปรียบเทียบ โฆษณาในประเทศอาหรับมักจะขายกันตรงๆ ไม่เน้นข้อมูลเชิงลึก แม้แต่สินค้าเทคโนโลยีอย่างเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือโทรศัพท์มือถือ ก็ยังเน้นแต่แบรนด์และวิถีชีวิตที่สื่อถึงภาพลักษณ์ของแบรนด์ หากต้องการข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า ผู้บริโภคต้องไปขอจากจุดที่วางขายสินค้านั้นๆ สำหรับการให้ข้อมูลเชิงเปรียบเทียบนั้น ไม่เหมาะกับตลาดอาหรับอย่างยิ่ง เพราะผู้บริโภคในส่วนนี้ต้องการความเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะตัวมากกว่าเรื่องอื่น ผู้ซื้อไม่ค่อยสนใจปัจจัยเรื่องราคา ดังนั้น การโฆษณาว่าสินค้าของคุณ "ถูกกว่า" หรือ "คุ้มกว่า" จึงไม่ค่อยได้ผล นอกจากนี้ชาวอาหรับยังถือว่าการโฆษณาโดยพูดถึงจุดด้อยของคู่แข่งตรงๆ นั้นเป็นเรื่องไม่สมควรและอาจจะไร้จรรยาบรรณด้วยซ้ำ ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่นักโฆษณาทั้งหลายต้องจำไว้ให้ดี

แฟชั่น เครื่องแต่งกาย
สินค้าที่จำเป็นต้องปรับรายการสินค้ามากที่สุดคือสินค้าประเภทแฟชั่นเครื่องแต่งกาย โดยเฉพาะเสื้อผ้าผู้หญิง ผู้ซื้อในชาติอาหรับต้องการเสื้อผ้าน้ำหนักเบา ออกแบบดี โดยต้องเป็นเสื้อแขนยาวและกระโปรงยาว ปกปิดร่างกายได้มิดชิด นอกจากนี้ ความต้องการอีกอย่างหนึ่งคือต้องมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาดตลอดทั้งปี เนื่องจากผู้ซื้อกลุ่มใหญ่และสำคัญที่สุดในตลาด GCC คือกลุ่มสาววัยรุ่น การมีสินค้าใหม่ ทันสมัยจึงสำคัญมาก (เพราะสตรีที่มีอายุจะแต่งกายตามประเพณีมากกว่า) ตัวอย่างหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการทำตลาดด้วยการปรับรายการสินค้าคือ Zara

Zara กับความสำเร็จในตลาดอาหรับ
Zara เป็นแบรนด์สัญชาติสเปนที่มีสินค้ากระจายอยู่ในตลาดชั้นนำทั่วโลก ปัจจุบันมีร้านสาขากว่า 650 แห่ง ในกว่า 50 ประเทศ แบรนด์นี้มีชื่อเสียงเรื่องเสื้อผ้าทันสมัย ราคาสมเหตุสมผล จุดแข็งคือ การใช้ดีไซน์เนอร์ในวัยยี่สิบซึ่งเป็นช่วงอายุเดียวกันกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ ในแต่ละปี ดีไซเนอร์เหล่านี้จะออกแบบเสื้อผ้าใหม่ๆ กว่า 40,000 แบบ ซึ่งจะถูกนำไปผลิตแบบละ 10,000 ชิ้น เพื่อป้อนตลาดทั่วโลก การที่ Zara ผลิตเสื้อผ้าแบบละไม่มากเกินไป ทำให้สามารถทดสอบตลาดได้มากขึ้นโดยมีความเสี่ยงน้อยลง
การที่ Zara มีแบบเสื้อผ้าใหม่จำนวนมากในแต่ละปีสอดคล้องกับความต้องการของผู้ซื้อในกลุ่มประเทศ GCC พอดี ผู้ซื้อหลักในกลุ่มประเทศนี้เป็นวัยรุ่นซึ่งตรงกับกลุ่มเป้าหมายของ Zara ด้วย ในจำนวนแบบเสื้อนับหมื่นแบบ ร้าน Zara ในกลุ่มประเทศ GCC สามารถเลือกเสื้อเชิ้ตแขนยาวและกระโปรงยาวหลากหลายแบบเข้ามาวางขายมากกว่าสาขาใดในโลก